สวัสดีค่ะเพื่อนๆขา....

แม่หมอสาวคุยข่าวหุ้นยังคงเป็นเพื่อนร่วมทาง(การลงทุน)เพื่อนๆเหมือนเดิม โดยนำเสนอ หุ้นมีข่าว เช้าบ่าย ค่ำ อยู่เป็นเพื่อนกันตลอดวัน ตลอดคืน .......แถมวันเสาร์มีเสริมบารมีนักลงทุนมานำเสนอเพื่อความเฮงด้วยนะคะ .... ส่วนวันอาทิตย์เป็นความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นในหัวข้ออ่านหมากตลาดหุ้นค่ะ .... สำหรับข่าวเรียลไทม์ ขอสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะสมาชิคเท่านั้นนะคะ ซึ่งเพื่อนๆสามารถติดต่อขอเป็นสมาชิคได้ที่ magicstocknews @gmail.com หรือ 086-8673392 ค่ะ


*

วันเสาร์

บัญญัติ10ประการของวอเรนท์ บัฟเฟต์

กู๊ดมอร์นิ่งซันเดย์ค่ะเพื่อนๆ  เช้านี้แม่หมอมีเรื่องดีๆมานำเสนอค่ะ เพื่อนๆคงเคยได้ยินชื่อวอเรนท์ บัฟเฟตต์อภิมหาเศรษฐีที่รวยจากการเล่นหุ้นมากที่สุดในโลกกันมาบ้างแล้วใช่มั๊ยคะ.....  งั้นเรามารู้จักคุณปู่่คนนี้เพิ่มเติมกันอีกหน่อยดีกว่าค่ะ  วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นชาวอเมริกัน เป็นลูกชายของ stock broker  ตอนเด็กๆชอบหมกมุ่นกับตัวเลขและมีความจำอันดีเลิศ  ในตอนที่เขาอายุ 6 ขวบ เขาได้จ่ายเงิน 25 เซนต์ซื้อโค๊กจำนวน 6 แพ็ค และนำมาขาย ในราคากระป๋องละ หนึ่งเหรียญ และเมื่ออายุ 11 ขวบ เขาทำหน้าที่เป็นเด็กจดกระดานในบริษัทหุ้นของพ่อของเขา และในปีเดียวกันนั้น เขาเริ่มซื้อหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเงินอันน้อยนิด เขาสามารถซื้อได้แค่ 3 หุ้น หุ้น Cities Service Preferred ในราคาหุ้นละ 38 เหรียญ เมื่อซื้อแล้วราคาได้ตกมา 27 เหรียญ แต่เมื่อหุ้นกลับขึ้นมาอีกที เขาก็ขายไปที่ 40 เหรียญ นั่นเป็นการทำกำไรครั้งแรกในชีวิต หลังจากนั้นต่อมาหุ้นตัวนั้นก็ทะยานไปถึงหุ้นละ 200 เหรียญ


วอเรนท์ บัฟเฟตต์ใช้ระยะเวลา 49 ปีนับจากวันแรกที่เขาเริ่มเล่นหุ้น จนถึงปัจจุบันนี้กลายมาเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นมากที่สุดของโลกได้....... เป็นเพราะเขามีหลักการในการเล่นหุ้นอย่างเป็นขั้นตอน มีเหตุมีผล และด้วยการตัดสินใจที่ดีของตัวเขาเอง......  และด้วยวัย 76 ปีในปัจจุบัน ชายคนนี้ได้นำทรัพย์สินกว่า 3,700 ล้านเหรียญของเขาบริจาคให้กับสาธารณะกุศล เพราะเขามั่นใจว่าเงินที่บริจาคนี้ จะทำให้เกิดประโยชน์มากกว่าการที่จะมอบให้กับลูก ๆ ของเขา  เพราะเขาเชื่อว่าเงินที่เขาได้มาก็มาจากสังคม และเมื่อเขาประสบความสำเร็จและมีเงินมากมายมหาศาลก็ควรที่จะคืนให้กับสังคม


คราวนี้เพื่อนๆคงอยากรู้แล้วใช่มั๊ยคะว่า วอเรนท์ บัฟเฟตต์มีหลักการลงทุนอย่างไร วันนี้แม่หมอเลยขอนำบัญญัติ10ประการของวอเรนท์ บัฟเฟตต์มาให้เพื่อนๆอ่านกันดังนี้เลยค่ะ

ข้อ1 จงเป็นผู้มัธยัสถ์......  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง แต่มันมีความสำคัญพื้นฐานต่อความคิดของบัฟเฟตต์ ทั้งที่เป็นอภิมหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของโลก เขามีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย เวลาเขาไปไหนมาไหนก็ยังขับรถเอง  การไม่ใช้ชีวิตแบบหรูหราฟุ้งเฟ้อไปตามกระแสสังคม ยังผลให้เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคอยจ้องหารายได้จากการขายหุ้นที่มีอยู่ในมือ หรือจากการปันผลกำไรที่บริษัททำได้อย่างต่อเนื่อง.... กิจการที่เขาเข้าไปลงทุนกำจัดค่าใช้จ่ายที่ไม่ค่อยเกิดประโยชน์ และพยายามจำกัดค่าตอบแทนของผู้บริหารส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นทำกำไรได้สูงยิ่งขึ้น

ข้อ2 จงยึดหลักช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม.......  หรือมีความอดทนเพื่อรอโอกาสทองที่จะเกิดขึ้น จากความผันผวนอย่างหนักของตลาดหลักทรัพย์ ในปัจจุบันวิกฤติเศรษฐกิจและความผันผวนของราคาโภคภัณฑ์รวมทั้งน้ำมันปิโตรเลียมและแร่ธาตุ อาจทำให้หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งตกลงมาอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น..... ฉะนั้นในช่วงนี้บัฟเฟตต์จะมีโอกาสดีเป็นพิเศษ มีรายงานข่าวออกมาว่าเขาได้เข้าไปซื้อหุ้นในหลายบริษัทที่ทำกิจการด้านน้ำมันปิโตรเลียม ด้านการบริการพลังงานไฟฟ้า ด้านธนาคารพาณิชย์ และด้านการขนส่งทางรถไฟ

ข้อ3 จงเดินทวนกระแส........ บัฟเฟตต์เฝ้ามองว่าฝูงนักลงทุนจะพากันเดินไปทางไหนแล้ว เขาจะพยายามเดินไปทางตรงข้าม เนื่องจากทางที่นักลงทุนพากันไปนั้น โอกาสในการทำกำไรได้อย่างงดงามมีน้อยเพราะนักลงทุนพวกนั้นได้ผลักดันราคาของหุ้นให้สูงขึ้นแล้ว..... ฉะนั้นเมื่อตอนที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเมื่อสองสามปีก่อน บัฟเฟตต์ไม่เข้าไปร่วมด้วย แต่ในตอนนี้นักลงทุนจำนวนมากมองหาทางเทขายยังผลให้ราคาหุ้นโดยทั่วไปตกและหุ้นของบางบริษัทตกมากเป็นพิเศษ ตอนนี้บัฟเฟตต์ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาถูก

ข้อ4 จงเลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ....... บัฟเฟตต์จะไม่ซื้อหุ้นของบริษัทที่เขาไม่เข้าใจว่าผลิตอะไรออกมาและไม่รู้อย่างแจ้งชัดว่าบริษัทนั้นทำกำไรได้อย่างไร ทั้งที่ในยุคนี้ มหาเศรษฐีจำนวนมากใช้เทคโนโลยีเป็นหัวจักรขับเคลื่อนการสร้างความร่ำรวย รวมทั้งเพื่อนซี่ของเขาเอง เช่น บิล เกตส์ ด้วย แต่บัฟเฟตต์หลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นในบริษัทเทคโนโลยี ......ฉะนั้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วอันเป็นตอนที่ราคาหุ้นของภาคเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บัฟเฟตต์จึงไม่เข้าไปซื้อเพราะเขาไม่เข้าใจเทคโนโลยีใหม่ๆ และไม่รู้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะทำกำไรได้อย่างไร อีกไม่กี่ปีต่อมา..... ผลปรากฏว่านักลงทุนพากันสูญเงินจำนวนมหาศาลเมื่อฟองสบู่ในภาคเทคโนโลยีแตก แต่บัฟเฟตต์ทำกำไรได้อย่างงดงามจากการลงทุนในภาคอื่น

ข้อ5 จงอย่าฟังนักวิจารณ์หรือการยืนยันของตลาด ..... ยุคนี้มีนักวิจารณ์จำนวนมากออกมาวิจารณ์การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ตามสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง คนกลุ่มนี้มีความเห็นสารพัดและมักจะให้การยืนยัน หรือไม่ก็แย้งการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุนใหญ่ๆ เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์....  นอกจากนั้นการเคลื่อนไหวรายวันของราคาหุ้นยังเป็นเสมือนการยืนยันในระยะสั้นด้วยว่าการตัดสินใจซื้อหุ้นนั้นถูกต้องหรือไม่ ...... บัฟเฟตต์จะไม่ฟังคำวิจารณ์และไม่ต้องการดูราคาหุ้นว่าไปทางไหน เขาจะตัดสินใจบนฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลของเขาเอง

ข้อ6 จงค้นหาของดีราคาถูกให้พบ...... ในกระบวนการค้นหาหุ้นราคาถูก บัฟเฟตต์เริ่มวิเคราะห์เพื่อค้นหา "มูลค่าภายใน" (intrinsic value) ของบริษัทเป็นขั้นแรก กระบวนการนี้อาจมองดูว่าราคาหุ้นของบริษัทคล้ายๆ กันเป็นอย่างไร หรือไม่ก็คำนวณค่าปัจจุบันของเงินสดที่บริษัทนั้นน่าจะทำได้ในอนาคต ..... หากราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดต่ำกว่ามูลค่าภายในมากๆ บริษัทนั้นน่าสนใจเพราะมี "ส่วนเผื่อความปลอดภัย" (margin of safety) สูงมาก

ข้อ7 จงมองหาบริษัทที่มีรั้วรอบขอบชิด ...... บริษัทจำพวกนี้มักมีประวัติในการทำกำไรได้ดี และมีความได้เปรียบอย่างยั่งยืนเพราะคู่แข่งเกิดขึ้นได้ยากมาก อาจเนื่องมาจากอำนาจในการปกป้องของสิทธิบัตรและของเครื่องหมายการค้าที่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง.....  บริษัทจำพวกนี้สามารถขึ้นราคาสินค้าและบริการได้โดยไม่กระทบยอดขายและมักไม่ได้รับผลกระทบมากนักในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ฉะนั้นบัฟเฟตต์จึงถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทประกอบการรถไฟ เพราะยากที่จะมีใครสามารถสร้างรางขึ้นมาแข่งได้ในทวีปอเมริกาเหนือ และในบริษัทโคคา-โคลาเพราะมีเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางพร้อมกับมีระบบการจัดจำหน่ายที่ลื่นไหลเป็นอย่างดีทั่วโลก

ข้อ8 จงทุ่มเงินลงไปในบริษัทที่น่าซื้อ...... เรื่องนี้เป็นลักษณะหนึ่งของการเดินย้อนกระแส นักลงทุนโดยทั่วไปมักใช้การกระจายการลงทุนออกไปในหลายบริษัทเพื่อหวังลดความเสี่ยง แต่บัฟเฟตต์กลับชอบลงทุนแบบกระจุกตัวมากกว่า......  เมื่อใดเขามองเห็นโอกาสดีเป็นพิเศษ เมื่อนั้นเขาจะทุ่มทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้นทันที เขามองว่าการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและการมีความอดทนที่จะรอจนได้ "ส่วนเผื่อความปลอดภัย" สูงมากๆ เป็นมาตรการลดความเสี่ยงที่ดีที่สุดอยู่แล้ว.....  ฉะนั้นประวัติการลงทุนของเขาบ่งว่า ความสำเร็จของเขาเกิดจากผลตอบแทนสูงมากที่เขาได้จากการทุ่มลงทุนในหุ้นของบริษัทเพียงราวหนึ่งโหลเท่านั้น

ข้อ9 จงซื้อเพื่อถือไว้หาผลกำไรในระยะยาว ...... บัฟเฟตต์มองว่าถ้าได้วิเคราะห์เป็นอย่างดีแล้วว่าควรลงทุนในบริษัทไหน บริษัทนั้นควรจะให้ผลกำไรดีเป็นเวลานาน ฉะนั้นผู้ที่ทนไม่ไหวที่จะดูราคาหุ้นของตนตกไป 50% อย่าคิดเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นเด็ดขาด ...... แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเมื่อซื้อหุ้นมาแล้วก็เลิกติดตามความเป็นไป ตรงข้ามผู้ถือหุ้นจะต้องติดตามและวิเคราะห์เหตุการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด เมื่อใดเห็นว่าบริษัทนั้นหมดโอกาสที่จะทำกำไรดีต่อไป หรือกำลังเดินเข้าภาวะยากลำบากเป็นเวลานาน เมื่อนั้นจงรีบขายออกไปทันที......  ด้วยหลักข้อนี้ บัฟเฟตต์จึงขายหุ้นจำนวนมากในบริษัทรับจำนองบ้านขนาดยักษ์ที่รู้จักกันในนาม Fannie Mae กับ Freddie Mac ก่อนที่สองบริษัทนั้นจะประสบปัญหาจนถูกรัฐเข้าไปยึดเมื่อปีที่แล้ว สิ่งหนึ่งซึ่ง Michael Brush ไม่ได้กล่าวถึงคือ บัฟเฟตต์มองว่าการซื้อขายหุ้นบ่อยๆ รังแต่จะเป็นเหยื่อให้แก่ผู้ที่ไม่ค่อยมีบทบาทพื้นฐานทางเศรษฐกิจนัก เช่น นายหน้าค้าหุ้น ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้บริหารกองทุน เขาประเมินว่าคนเหล่านั้นหักเอาผลกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปราวปีละ 140,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 20% ของผลกำไรทั้งหมดซึ่งมีผลกระทบทางลบต่อผลประกอบการของบริษัท

ข้อ10 จงเชื่อมั่นในอเมริกา......  บัฟเฟตต์จะไม่มองว่าใครเข้าเป็นประธานาธิบดี หรือในขณะนี้วัฏจักรของเศรษฐกิจอยู่ตรงไหน หากมองว่าในระยะยาวบริษัทขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งจะกลับมาทำกำไรได้ดีอีกครั้งแม้ในขณะนี้ดูจะมีปัญหาบ้างก็ตาม ...... ฉะนั้นในปัจจุบัน บัฟเฟตต์จึงนำเงินจากส่วนที่ซื้อพันธบัตรไว้ออกมาใส่ลงในหุ้นของบริษัทที่เขามองว่ามีโอกาสทำกำไรได้ดีในระยะยาว

เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆ บัญญัติ10ประการของคณปู่่วอเรนต์ บัฟเฟตต์ โดยเฉพาะข้อ10 ของคุณปู่ที่ว่า จงเชื่อมั่นในอเมริกา นี่อินเทรนด์จริงจริ๊ง ถ้าเราเปลี่ยนให้มาเป็นจงเชื่อมั่นในประเทศไทย โดยเฉพาะในฤดูกาลเลือกตั้งที่กระแสประชานิยมมาแรงกันเหลือเกินทุกพรรคไม่มีใครน้อยหน้าใคร จนฝรั่งพากันกลัวขายหุ้นออกไปก่อนหน้านี้..... เป็นความจริงค่ะว่าถ้าบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงจะกลับมาทำกำไรได้แม้บางช่วงจะมีปัญหาบ้างก็ตาม .... แม่หมอก็หวังว่าบัญญัติ10ประการของคุณปู่คงจะเป็นข้อคิดการลงทุนให้กับเพื่อนๆเพื่อให้การอ่านหมากตลาดหุ้นประสบความสำเร็จได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

Powered By Blogger