สวัสดีค่ะเพื่อนๆขา....

แม่หมอสาวคุยข่าวหุ้นยังคงเป็นเพื่อนร่วมทาง(การลงทุน)เพื่อนๆเหมือนเดิม โดยนำเสนอ หุ้นมีข่าว เช้าบ่าย ค่ำ อยู่เป็นเพื่อนกันตลอดวัน ตลอดคืน .......แถมวันเสาร์มีเสริมบารมีนักลงทุนมานำเสนอเพื่อความเฮงด้วยนะคะ .... ส่วนวันอาทิตย์เป็นความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นในหัวข้ออ่านหมากตลาดหุ้นค่ะ .... สำหรับข่าวเรียลไทม์ ขอสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะสมาชิคเท่านั้นนะคะ ซึ่งเพื่อนๆสามารถติดต่อขอเป็นสมาชิคได้ที่ magicstocknews @gmail.com หรือ 086-8673392 ค่ะ


*

วันอาทิตย์

วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเริ่มตรงไหนดี

ถ้าคุณอยากได้ข่าวฉบับเต็มก็สามารถขอมาได้ที่ e-mail: sucha888@gmail.com  

ข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดรวบรวมมาจากแหล่งข่าวต่าง ๆ อาทิเช่น หนังสือพิมพ์ สำนักงานข่าว 
และบทวิเคราะห์ของโบรคเกอร์ต่าง ๆ ที่เผยแพร่สู่สาธารณะ

วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเริ่มตรงไหนดี

- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่เรียกว่า Fundamental Analysis อาจฟังดูวิชาก๊าน วิชาการ แต่จำเป็นนะคะ การเข้าตลาดหุ้นก็เหมือนเดินเข้าถ้ำเสือ ถ้าไม่เตรียมอาวุธไว้บ้าง อาจโดนเสือขบหัวเอาได้ง่ายๆ ...... พูดไปแล้วการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ก็คือ การประเมินทิศทางตลาด - อุตสาหกรรม และ ราคาหุ้นของแต่ละบริษัทที่ควรจะเป็นในปัจจุบันหรืออนาคต โดยอาศัยข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องสนับสนุน .......... ตานี้เรามาดูกันว่าสมัยนี้อินเทรนด์เค้าดูอะไรกันบ้าง ซึ่งแม่หมอถนัด TOP - DOWN หมายถึงมองจากภาพกว้าง แล้วลงมาในรายละเอียด โดยเริ่มต้นดังนี้ค่ะ

  • ดูภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ซึ่ง ติดตามได้จาก ข่าวต่างประเทศ ช่องเคเบิ้ล CNN Boomberg หรือBisnews หรือจะเข้าไปคลิ๊ก ฟุตเวิร์คก่อนเทรด ของแม่หมอดูก็ไม่ผิดกติกานะคะ เพราะรวบรวมมาให้ทุกวันเช้า-บ่ายค่ะ .... อย่างตอนนี้ประเด็นฮอตฮิตก็จะเป็นเรื่องกรีซ แนวโน้มที่ดอกเบี้ยมีโอกาสจะขึ้น และผลประกอบการไตรมาส1ที่สดใส ซึ่งถ้าเรามองภาพรวมออก เราก็จะสามารถคาดเดาทิศทางตลาดต่างประเทศได้ .....แถมด้วยติดตามราคาโภคภัณฑ์ อย่างทองคำและน้ำมัน รวมถึงค่าเงิน เพราะ เม็ดเงินลงทุนปัจจุบันอาจเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างตลาดทุน ตลาดเงินและตลาดโภคภัณฑ์ได้ค่ะ..... ยังไม่หมดนะคะ การตามการเคลื่อนไหวของตลาดต่างประเทศตลอดเวลาก็เป็นสิ่งจำ เป็นค่ะ ทั้งตลาดสหรัฐ ดาวโจนส์ ตลาดยุโรปอย่าง แดกซ์ ฟุตซี่ แคชโฟร์ตี้ ตลาดเอเซีย อย่างฮั่งเส็ง นิเคอิ เชี่ยงไฮ้คอมโพสิท เซนเซ็กซ์ เพราะ นอกจากจะส่งผลทางจิตวิทยาต่อตลาดไทยแล้ว การบริหาร กองทุนขนาดใหญ่ อาจส่งผลเรื่องการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินด้วยค่ะ
  • ดูภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ หลักๆสังเกตุจากตัวเลข จีดีพีที่สำนักต่างๆคาดกาณ์และประกาศออกมาจริง ตัวเลขส่งออก ดุลการค้า ภาระหนี้สาธารณะ และอีกอย่างที่สำคัญก็คือ เสถียรภาพรัฐบาลและนโยบายของภาครัฐ เพราะจะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจและกระทบต่อรายอุตสาหกรรมได้ค่ะ อย่างช่วงนี้ การเมืองไทยแรง การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินออกของกองทุนฝรั่งจึงเกิดขึ้น และเริ่มมีการประเมินผลกระทบต่อจีดีพีภาพรวมกันไปบ้างแล้วนะคะ
  • ดูรายอุตสาหกรรม หุ้นหรือบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดภาพรวมมักเป็นตัวสะท้อนเศรษฐกิจได้ดี ซึ่งในการซือ้ขายในตลาดก็จะแยกออกเป็นรายอุตสาหกรรมชัดเจน โดยเราต้องอ่านให้ขาด และเลือกอุตสาหกรรมไหนที่เป็นแนวโน้มขึ้นและจะขึ้นต่อไป หรือถ้าจะเลือกอุตสาหกรรมที่เป็นแนวโน้มลงต้องแน่ใจว่ากำลังจะมีโอกาส turnaround(ตีกลับ)ในระยะสั้นๆได้ ....... โดยเราจะใช้ข้อมูลในอดีตและปัจจุบันมาประกอบการพิจรณา แต่ระวังนิดนะคะ น้ำหนักของอดีตและปัจจุบันจะน้อยกว่าน้ำหนักการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต เพราะ การซื้อหุ้นเป็นการซือ้อนาคตไม่ใข่ซื้ออดีตค่ะ ..... ตัวอย่างเช่น ช่วงนี้การส่งออกดี อิเลคโทรนิกส์ เกษตร ยานยนต์ เด่นมากในไตรมาส1 ก็ต้องมองต่อไปว่าไตรมาส2ยังดีต่อหรือไม่ ที่ชัดเจนพอยกตัวอย่างได้คือกลุ่มอสังหา บ้านและคอนโด ไตรมาส1 ได้รับประโยชน์จาก มาตรการภาษีกำไรดี แต่ไตรมาส2จะไม่มีแล้ว แนวโน้มจึงอาจชะลอตัวลง ขณะที่กลุ่มโรงแรม กำไรไตรมาส1ฟื้นตัวดีมาก แต่ไตรมาส2โดนผลกระทบทางการเมือง หรือบางอุตสาหกรรมอาจต้องรอความชัดเจนในการตัดสินใจของรัฐบาล ความไม่แน่นอนสูงยังมีอยู่สูง เช่นกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น
  • ดูรายบริษัท พอเราเลือกอุตสาหกรรมได้แล้ว เราก็มาดูรายตัว จุดสำคัญในการเลือกหุ้นคือ เลือกหุ้นดีเมื่อเทียบกับราคาเสมอ เราจะไม่ซือ้หุ้นดีที่แพงเกินไปแล้วนะคะ หรืออาจจะหลบมาเลือกหุ้นที่อาจดูไม่ค่อยดีแต่เรามั่นใจว่ากำลังจะฟื้นตัวชัดเจนในเร็วๆนี้ และที่สำคัญราคายังถูกอยู่อะค่ะ.... เผลอๆเลือกอย่างหลังจะกำไรเป็นกอบเป็นกำแบบไม่คาดคิดเลยละค่ะ ขณะที่ใครๆก็พยายามเลือกอย่างแรกกัน ..... ส่วนข้อมูลหุ้นรายตัวที่มักดูกันมีดังนี้
    1. มีข่าวดีหรือโครงการใหม่ๆที่จะเพิ่มรายได้ยอดขายในอนาคต แนวโน้มดีต่อเนื่อง
    2. เป็นหุ้นที่มีกำไรดี หรือ เริ่มพลิกจากขาดทุนกลับมามีกำไร และกำลังจะแข็งแรงต่อเนื่อง
    3. เป็นหุ้นที่ราคาซื้อขายต่ำกว่าbook value หรือมูลค่าทางบัญชีของกิจการ
    4. เป็นหุ้นที่ค่าพีอีต่ำ พีหมายถึง price คือราคาซือ้ขาย อีหมายถึง earning หมายถึงกำไร พีอียิ่งต่ำยิ่งดีค่ะ
    5. เป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงคืนให้นักลงทุน
    6. เป็นหุ้นที่ผถห.ใหญ่หรือเจ้าของน่าเชื่อถือและไม่มีประวัติเสียหาย
    7. อื่นๆอีกมากมาย

      คราวนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าราคาไหนถึงจะเหมาสมกับหุ้นแต่ละตัว จริงๆจะมีทฤษฏีการคำนวณมากมายซึ่งจะมีฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ ทุกโบรกเกอร์ทั้งไทย เทศ คอยคำนวณและให้คำแนะนำ อยู่แล้วเป็นซือ้ หรือ ถือ หรือ ขาย ..... เราก็เพียงแต่หาข้อมูลมาอ่าน (หรืออ่านหน้าแรกของแม่หมอสาว คุยข่าวหุ้นก็ได้นะคะ จัดไว้ให้แล้วค่ะ) และใช้วิจารณญานพิจรณาเองอีกครั้ง ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดนะคะ เพราะเป็นการวิเคราะห์แบบต่างมุมมองกันอะค่ะ ...... ราคาเหมาะสมอาจแตกต่างกันไปตามเหตุผลของแต่ละค่ายซึ่งอาจไม่รวมถึงเมื่อเกิดภาวะผิดปกติ ในการซื้อขายของตลาด ...... สรุปก็คืออ่านให้มาก - ยังไม่ต้องเชื่อทั้งหมด - วิเคราะห์พิจรณาด้วยตนเอง และทำการตัดสินใจด้วยตัวเองอีกทีค่ะ ....

      - แม่หมอก็หวังเพียงว่า introduction of fundamental analysis สไตล์แม่หมอ คงเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะคะ ...บ๊ายบายค่ะ

      2 ความคิดเห็น:

      1. ชอบอ่านที่แม่หมอเขียน อ่านได้เข้าใจดีมากเขียนได้ดี สนุก ลองทำตามดูนะคะ

        ตอบลบ
      2. ขอบคุณคร้า เล่นหุ้นอิงพื้นฐานก็เหมือนออกรบโดยมีกระบี่คมในมืออะค่ะ ได้เปรียบแน่นอน แม่หมอฟันธงค่ะ

        ตอบลบ

      ผู้ติดตาม

      Powered By Blogger