ว่าแล้วแม่หมอจะขอพาเพื่อนๆเปลี่ยนบรรยากาศ.......... มาฟังไอเดียคุณหมอนักลงทุนท่านหนึ่งที่มีหลักการลงทุนที่แม่หมอว่าเข้าท่าม๊ากมากอะค่ะ อ่านเจอในเน็ทนี่แหละค่ะ เลยขอเก็บมาฝากกัน ชื่อคุณหมอกริช นนทวาสี เป็นอาจารย์แพทย์ วิสัญญีวิทยาที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ลองอ่านดูนะคะ
ถ้านิยามของงานอดิเรก คือ สิ่งที่ทำในยามว่าง และเป็นสิ่งที่เราสนใจ ทำแล้วสนุก ........... ดังนั้นในมุมมองของผม ผมมีงานอดิเรกอีกอย่างคือการเล่นหุ้น เพราะผมชอบที่จะมีเงินเยอะๆ (ผมไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิด ต้องหาเอาเอง) และสามารถค้นหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจในเวลาว่างจากงานประจำ....... ถึงแม้จะไม่มีใึครชอบเสียเงิน แต่คนที่มีงานอดิเรกจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนที่สามารถจ่ายได้โดยไม่เดือดร้อน ตัวอย่างเช่น คนที่มีงานอดิเรกเป็นการถ่ายรูปก็ต้องเสียเงินค่ากล้อง+ค่าอัดรูป คนที่ชอบปลูกต้นไม้ก็ต้องเสียค่าต้นไม้+ปุ๋ย+อุปกรณ์ ผมก็เสียเงินในการเล่นหุ้นเป็นค่าธรรมเนียมและการขายขาดทุนในบางครั้ง คิดซะว่าเป็นค่าเรียน ........... คนที่ถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกบางคน อาจส่งภาพไปประกวดได้รางวัลหรือขายภาพถ่ายได้เงิน คนที่ปลูกต้นไม้บางคน ก็อาจขายต้นไม้ได้เงิน.......... ผมก็ได้เงินเล็กๆน้อยๆ จากการเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกเช่นกัน.......... ในวันข้างหน้าถ้าหากเชี่ยวชาญแล้ว+ลงทุนลงไปมากๆ อาจกลายเป็นรายได้เสริมก้อนโต พอๆกับรายได้จากงานประจำ
แนวทางที่การเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกที่ผมรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเอง คือ
1. ลงทุนแบบวอเรนต์ บัฟเฟต์
"กฏข้อที่1 อย่าขาดทุน,
กฏข้อที่2 อย่าลืมกฏข้อ1"
"ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจคนทั่วไปมักจะขาดทุน แต่บัฟเฟต์จะรวยขึ้นทุกครั้ง"
"ความร่ำรวยของวอเรนต์ บัฟเฟต์ เกิดจากการตัดสินใจแค่ไม่กี่ครั้ง"
"ซื้อหุ้นที่ราคาแย่ๆ แม้ว่าจะขายในราคาแย่ๆ ก็ยังได้กำไร"
คำพูดเหล่านี้น่าจะหมายถึง การลงทุนในบริษัทที่ไม่มีวันตาย ความเสี่ยงต่ำ แต่อยู่ในช่วงลดราคาถูกสุดๆ ......... การนำไปใช้ของผมก็คือ ถ้าวิกฤติเศรษฐกิจของโลกโดยเฉลี่ยจะเกิดขึ้นทุกๆ 5 ปี ผมจะมีช่วงเวลาประมาณ 4 ปี ที่จะซุ่มเก็บออมเงินรอไว้สำหรับลงทุนครั้งใหญ่ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หลังจากนั้นก็กอดหุ้นไว้ระยะยาวรับเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าการฝากประจำ และเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 ปี ราคาหุ้นที่ซื้อไว้เพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่า ก็จะขายหุ้นเอากำไรออกมาเก็บไว้เป็นเงินลงทุนต่อยอดสำหรับวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึงในรอบต่อไป ......... วิธีนี้ไม่น่าจะขาดทุนถ้าหากซื้อหุ้นที่ไม่วันตายและอดทนรอ ไม่ยอมขายขาดทุน ถ้ายึดถือวิธีนี้วิธีเดียวผมคงจะไม่ต้องคอยติดตามดูดัชนีและราคาหุ้นทุกวันๆ แต่ผมเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกและเพื่อเป็นการเก็บประสบการณ์(ที่ยังมีน้อย) ก็เลยต้องให้เวลากับมันอย่างน้อยๆ วันละ 30 นาที
2. ลงทุนตามทฤษฎี Magic formula
Magic formula : ลงทุนใน High-risk,high-return products 2 ชนิดที่มีทิศทางวัฏจักรตรงข้ามสลับกันไป โดยเข้าลงทุนในช่วงราคาตกต่ำของวัฏจักรของแต่ละ products จะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงใกล้เคียงกับการลงทุนใน high-risk,high-return product เพียงตัวเดียว แต่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับการลงทุนใน low-risk,low-return product เพียงอย่างเดียว
ตีความแบบบ้านๆ ง่ายๆ ว่า "ซื้อถูก ขายแพง".......... ตัวอย่างเช่น ทองคำ, หุ้นกลุ่มพลังงาน, ธนาคาร, ขนส่ง, อุตสาหกรรม,สื่อสาร, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ ต่างก็มีวัฏจักรของตัวเอง อาจมีช่วงขาขึ้นขาลงไม่ตรงกันเสมอไป...... แต่คู่ที่เหมาะกับทฤษฎีนี้ที่สุดน่าจะเป็นการซื้อ TDEX สลับกับ set50 put option ถ้าเราเลือกจังหวะเข้าซื้อในช่วงราคาตกมากๆของแต่ละกลุ่มและขายทำกำไรในช่วงขาขึ้น จะทำให้เรามีเงินหมุนเวียนลงทุนในอีกกลุ่มหนึ่งที่ราคากำลังตก ....... การลงทุนตามทฤษฎีนี้จะใช้กับช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวมาก ไม่ใช่ช่วงตลาดนิ่ง แต่สิ่งที่ยากในทางปฏิบัติก็คือการเลือกจังหวะซื้อ-ขาย การเล่นตามทฤษฎีนี้ทำให้รู้สึกว่าการเล่นหุ้นสนุกเหมือนการเล่นเกมอย่างนึง
หมายเหตุ : ทฤษฎี Magic formula ที่ผมกล่าวถึงนี้ ผมเคยอ่านเจอใน internet บอกว่าเป็นผลงานของ Dr.Markowitz (แต่ตอนนี้หาอ้างอิงตาม link ไม่เจอแล้ว http://finance.freegoodservice.com/investment/concept/HighReturn.htm) มันไม่เหมือนกับ Magic formula ของ Greenblatt ที่เขียนหนังสือ The Little Book That Beats the Market
3. ทฤษฎี Portfolio optimization ของ Dr.Markowitz
ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1990 สรุปเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ได้ว่า........ ถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงต่ำ ให้แบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน โดยลงทุนในหุ้น (high-risk,high-return) 55% พร้อมๆ กับลงทุนในตราสารหนี้ (low-risk,low-return) 45% เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 8% ต่อปี และความเสี่ยง (standard deviation) อยู่ในช่วง 10% [หมายความว่าภายใน 1 ปี จะมีโอกาสได้กำไรสูงสุด 18% และถ้าขาดทุนจะเสียเงินต้นไม่เกิน 2%
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า วอเรนต์ บัฟเฟต์ จัดพอร์ตลงทุนยังไง การลงทุนระยะปานกลาง-ยาว สามารถทำเป็นงานอดิเรกหลังเลิกงานได้ ตอนเย็น-กลางคืนก็ศึกษาข้อมูลไว้ก่อน พอตอนเช้าก่อนเริ่มทำงานประจำก็ส่งคำสั่งซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นช่วงเช้าและยังมีเวลาส่งคำสั่งซื้อขายช่วงพักเที่ยงก่อนเปิดตลาดช่วงบ่ายได้อีก.......... ส่วนการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรระยะสั้นผมก็ลองทำมาแล้วในช่วงแรกๆ เพราะอยากได้กำไรเยอะๆ ในเวลาสั้น แต่สุดท้ายก็ขาดทุนมากกว่าได้กำไร แถมยังพบว่าไม่สามารถทำเป็นงานอดิเรกได้ เพราะมีความเครียดสูง และต้องมีเวลานั่งเฝ้าดูตลาดให้ทั้งวัน ซึ่งขัดแย้งกับการทำงานประจำ
เป็นงัยบ้างคะหลักการเล่นหุ้นของคุณหมอกริช นนทวาสี แม่หมออ่านแล้วก็ชอบนะคะ แล้วเพื่อนๆละคะ ชอบเหมือนแม่หมอหรือเปล่า ......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น