สวัสดีค่ะเพื่อนๆขา....

แม่หมอสาวคุยข่าวหุ้นยังคงเป็นเพื่อนร่วมทาง(การลงทุน)เพื่อนๆเหมือนเดิม โดยนำเสนอ หุ้นมีข่าว เช้าบ่าย ค่ำ อยู่เป็นเพื่อนกันตลอดวัน ตลอดคืน .......แถมวันเสาร์มีเสริมบารมีนักลงทุนมานำเสนอเพื่อความเฮงด้วยนะคะ .... ส่วนวันอาทิตย์เป็นความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นในหัวข้ออ่านหมากตลาดหุ้นค่ะ .... สำหรับข่าวเรียลไทม์ ขอสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะสมาชิคเท่านั้นนะคะ ซึ่งเพื่อนๆสามารถติดต่อขอเป็นสมาชิคได้ที่ magicstocknews @gmail.com หรือ 086-8673392 ค่ะ


*

วันพฤหัสบดี

เล่นหุ้นอย่างมีหลักการของคุณหมอนักลงทุน

สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะเพื่อนๆ............ หลังจากที่พวกเราอยู่ในวิกฤติการณ์มหาอุทกภัยกันมายาวนาน ตลาดหุ้นก็ยังไม่ลง เหตุผลของความแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งมาจากฝรั่งมองว่าต้นปีหน้าเราจะฟื้นตัวแบบV Shape จากการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ..... แต่ของอย่างนี้ไม่มีอะไรแน่นอนหรอกค่ะ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มออกอาการเจให้เห็นบ้างแล้ว แม้แต่ตลาดไทย ปลายสัปดาห์ ทั้งฝรั่งและกองทุนก็กลับมาเล่นฝั่งขาย ประเนหลักน่าจะมาจาก ปัญหาหนี้ยุโรปที่ลุกลามประมาณหนังซีรี่ย์เรื่องยาวไปซะแล้ว  ส่วนตลาดไทย 999 จุดจะเป็นพีครอบนี้หรือไม่ ก็ต้องตามดูกันต่อไปละค่ะ ...........

ว่าแล้วแม่หมอจะขอพาเพื่อนๆเปลี่ยนบรรยากาศ..........  มาฟังไอเดียคุณหมอนักลงทุนท่านหนึ่งที่มีหลักการลงทุนที่แม่หมอว่าเข้าท่าม๊ากมากอะค่ะ  อ่านเจอในเน็ทนี่แหละค่ะ เลยขอเก็บมาฝากกัน  ชื่อคุณหมอกริช นนทวาสี เป็นอาจารย์แพทย์ วิสัญญีวิทยาที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ลองอ่านดูนะคะ

ถ้านิยามของงานอดิเรก คือ สิ่งที่ทำในยามว่าง และเป็นสิ่งที่เราสนใจ ทำแล้วสนุก ........... ดังนั้นในมุมมองของผม  ผมมีงานอดิเรกอีกอย่างคือการเล่นหุ้น  เพราะผมชอบที่จะมีเงินเยอะๆ (ผมไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิด ต้องหาเอาเอง) และสามารถค้นหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจในเวลาว่างจากงานประจำ....... ถึงแม้จะไม่มีใึครชอบเสียเงิน แต่คนที่มีงานอดิเรกจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนที่สามารถจ่ายได้โดยไม่เดือดร้อน  ตัวอย่างเช่น คนที่มีงานอดิเรกเป็นการถ่ายรูปก็ต้องเสียเงินค่ากล้อง+ค่าอัดรูป  คนที่ชอบปลูกต้นไม้ก็ต้องเสียค่าต้นไม้+ปุ๋ย+อุปกรณ์  ผมก็เสียเงินในการเล่นหุ้นเป็นค่าธรรมเนียมและการขายขาดทุนในบางครั้ง  คิดซะว่าเป็นค่าเรียน ........... คนที่ถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกบางคน อาจส่งภาพไปประกวดได้รางวัลหรือขายภาพถ่ายได้เงิน  คนที่ปลูกต้นไม้บางคน ก็อาจขายต้นไม้ได้เงิน.......... ผมก็ได้เงินเล็กๆน้อยๆ จากการเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกเช่นกัน.......... ในวันข้างหน้าถ้าหากเชี่ยวชาญแล้ว+ลงทุนลงไปมากๆ อาจกลายเป็นรายได้เสริมก้อนโต พอๆกับรายได้จากงานประจำ

แนวทางที่การเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกที่ผมรู้สึกว่าเหมาะกับตัวเอง คือ

1. ลงทุนแบบวอเรนต์ บัฟเฟต์

"กฏข้อที่1 อย่าขาดทุน,
กฏข้อที่2 อย่าลืมกฏข้อ1"
"ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจคนทั่วไปมักจะขาดทุน แต่บัฟเฟต์จะรวยขึ้นทุกครั้ง"
"ความร่ำรวยของวอเรนต์ บัฟเฟต์  เกิดจากการตัดสินใจแค่ไม่กี่ครั้ง"
"ซื้อหุ้นที่ราคาแย่ๆ  แม้ว่าจะขายในราคาแย่ๆ ก็ยังได้กำไร"

คำพูดเหล่านี้น่าจะหมายถึง การลงทุนในบริษัทที่ไม่มีวันตาย ความเสี่ยงต่ำ แต่อยู่ในช่วงลดราคาถูกสุดๆ .........   การนำไปใช้ของผมก็คือ ถ้าวิกฤติเศรษฐกิจของโลกโดยเฉลี่ยจะเกิดขึ้นทุกๆ 5 ปี  ผมจะมีช่วงเวลาประมาณ 4 ปี ที่จะซุ่มเก็บออมเงินรอไว้สำหรับลงทุนครั้งใหญ่ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ  หลังจากนั้นก็กอดหุ้นไว้ระยะยาวรับเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าการฝากประจำ และเมื่อเวลาผ่านไป 3-4 ปี ราคาหุ้นที่ซื้อไว้เพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่า ก็จะขายหุ้นเอากำไรออกมาเก็บไว้เป็นเงินลงทุนต่อยอดสำหรับวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังจะมาถึงในรอบต่อไป  ......... วิธีนี้ไม่น่าจะขาดทุนถ้าหากซื้อหุ้นที่ไม่วันตายและอดทนรอ ไม่ยอมขายขาดทุน  ถ้ายึดถือวิธีนี้วิธีเดียวผมคงจะไม่ต้องคอยติดตามดูดัชนีและราคาหุ้นทุกวันๆ แต่ผมเล่นหุ้นเป็นงานอดิเรกและเพื่อเป็นการเก็บประสบการณ์(ที่ยังมีน้อย) ก็เลยต้องให้เวลากับมันอย่างน้อยๆ วันละ 30 นาที

2. ลงทุนตามทฤษฎี Magic formula

Magic formula : ลงทุนใน High-risk,high-return products 2 ชนิดที่มีทิศทางวัฏจักรตรงข้ามสลับกันไป โดยเข้าลงทุนในช่วงราคาตกต่ำของวัฏจักรของแต่ละ products  จะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงใกล้เคียงกับการลงทุนใน high-risk,high-return product เพียงตัวเดียว  แต่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับการลงทุนใน low-risk,low-return product เพียงอย่างเดียว

ตีความแบบบ้านๆ ง่ายๆ ว่า "ซื้อถูก ขายแพง".......... ตัวอย่างเช่น ทองคำ, หุ้นกลุ่มพลังงาน, ธนาคาร, ขนส่ง, อุตสาหกรรม,สื่อสาร, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ ต่างก็มีวัฏจักรของตัวเอง อาจมีช่วงขาขึ้นขาลงไม่ตรงกันเสมอไป......  แต่คู่ที่เหมาะกับทฤษฎีนี้ที่สุดน่าจะเป็นการซื้อ TDEX สลับกับ set50 put option  ถ้าเราเลือกจังหวะเข้าซื้อในช่วงราคาตกมากๆของแต่ละกลุ่มและขายทำกำไรในช่วงขาขึ้น จะทำให้เรามีเงินหมุนเวียนลงทุนในอีกกลุ่มหนึ่งที่ราคากำลังตก  ....... การลงทุนตามทฤษฎีนี้จะใช้กับช่วงที่ตลาดมีการเคลื่อนไหวมาก ไม่ใช่ช่วงตลาดนิ่ง  แต่สิ่งที่ยากในทางปฏิบัติก็คือการเลือกจังหวะซื้อ-ขาย การเล่นตามทฤษฎีนี้ทำให้รู้สึกว่าการเล่นหุ้นสนุกเหมือนการเล่นเกมอย่างนึง

หมายเหตุ : ทฤษฎี Magic formula ที่ผมกล่าวถึงนี้ ผมเคยอ่านเจอใน internet บอกว่าเป็นผลงานของ Dr.Markowitz (แต่ตอนนี้หาอ้างอิงตาม link ไม่เจอแล้ว http://finance.freegoodservice.com/investment/concept/HighReturn.htm)  มันไม่เหมือนกับ Magic formula ของ Greenblatt ที่เขียนหนังสือ The Little Book That Beats the Market

3. ทฤษฎี Portfolio optimization ของ Dr.Markowitz

ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1990  สรุปเป็นแนวทางปฏิบัติง่ายๆ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ได้ว่า........  ถ้าอยากได้ผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงต่ำ  ให้แบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ส่วน โดยลงทุนในหุ้น (high-risk,high-return) 55% พร้อมๆ กับลงทุนในตราสารหนี้ (low-risk,low-return) 45% เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 8% ต่อปี  และความเสี่ยง (standard deviation) อยู่ในช่วง 10% [หมายความว่าภายใน 1 ปี จะมีโอกาสได้กำไรสูงสุด 18% และถ้าขาดทุนจะเสียเงินต้นไม่เกิน 2%

 ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า วอเรนต์ บัฟเฟต์ จัดพอร์ตลงทุนยังไง การลงทุนระยะปานกลาง-ยาว สามารถทำเป็นงานอดิเรกหลังเลิกงานได้  ตอนเย็น-กลางคืนก็ศึกษาข้อมูลไว้ก่อน  พอตอนเช้าก่อนเริ่มทำงานประจำก็ส่งคำสั่งซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นช่วงเช้าและยังมีเวลาส่งคำสั่งซื้อขายช่วงพักเที่ยงก่อนเปิดตลาดช่วงบ่ายได้อีก.......... ส่วนการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรระยะสั้นผมก็ลองทำมาแล้วในช่วงแรกๆ เพราะอยากได้กำไรเยอะๆ ในเวลาสั้น  แต่สุดท้ายก็ขาดทุนมากกว่าได้กำไร  แถมยังพบว่าไม่สามารถทำเป็นงานอดิเรกได้ เพราะมีความเครียดสูง และต้องมีเวลานั่งเฝ้าดูตลาดให้ทั้งวัน  ซึ่งขัดแย้งกับการทำงานประจำ

เป็นงัยบ้างคะหลักการเล่นหุ้นของคุณหมอกริช นนทวาสี แม่หมออ่านแล้วก็ชอบนะคะ แล้วเพื่อนๆละคะ ชอบเหมือนแม่หมอหรือเปล่า ......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

Powered By Blogger