สวัสดีค่ะเพื่อนๆขา....

แม่หมอสาวคุยข่าวหุ้นยังคงเป็นเพื่อนร่วมทาง(การลงทุน)เพื่อนๆเหมือนเดิม โดยนำเสนอ หุ้นมีข่าว เช้าบ่าย ค่ำ อยู่เป็นเพื่อนกันตลอดวัน ตลอดคืน .......แถมวันเสาร์มีเสริมบารมีนักลงทุนมานำเสนอเพื่อความเฮงด้วยนะคะ .... ส่วนวันอาทิตย์เป็นความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นในหัวข้ออ่านหมากตลาดหุ้นค่ะ .... สำหรับข่าวเรียลไทม์ ขอสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะสมาชิคเท่านั้นนะคะ ซึ่งเพื่อนๆสามารถติดต่อขอเป็นสมาชิคได้ที่ magicstocknews @gmail.com หรือ 086-8673392 ค่ะ


*

วันเสาร์

10 ปัจจัยบวกสำหรับ SET หลังเลือกตั้ง

กู๊ดมอร์นิ่งซันเดย์ค่ะเพื่อน หลังจากงานบุญ2วันติดกันผ่านไปแล้ว.... เพื่อนๆที่ได้ไปทำบุญกันมาคงอิ่มอกอิ่มใจกันพอควร แม่หมอก็ขอโมทนาสาธุด้วยนะคะ  สำหรับเพื่อนๆที่ติดธุระ หรือไม่มีเวลาไปทำบัญก็ไม่เป็นไรนะคะ แค่คิดดีทำดี พูดดีก็เป็นบุญกุศลแล้วละค่ะ ..... มาวันนี้เรามาเตรียมความพร้อมสำหรับการเทรดในวันพรุ่งนี้กันซักนิดดีมั๊ยคะ  อันที่จริงตลาดช่วงที่ผ่านมา sideway กรอบกว้าง ลงมีขึ้น ขึ้นลง ใครเข้าออกถูกจังหวะได้ตั้งหลายรอบเลยละค่ะ แต่ถ้าใครเข้าไม่ถูกจังหวะหรือลืมออก อาจมีถอยให้ตื่นเต้นซักพักก็ขึ้น(มาให้เท่าทุน) แบบลุ้นกันเหนื่อยพอควรเลยนะคะ .... แม่หมอ มีบทความที่เป็นการวิเคราะห์ของ บล.ทรินีตี้มานำเสนอลองอ่านกันดูเป็นไอเดียนะคะ

                  คอลัมน์: จับช่องลงทุน: 10 ปัจจัยบวกสำหรับ SET หลังเลือกตั้ง



 หลังจากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ทำให้นักลงทุนต่างชาติคลายความกังวลในเรื่องเสถียรภาพการจัดตั้งรัฐบาล และความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น..... ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาในบ้านเราอย่างรวดเร็วทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ผลการเลือกตั้งออกมาชัดเจนนี้ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนว่าน่าจะช่วยผลักดันดัชนีหุ้นไทยไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 1113 จุดได้อีกครั้งในช่วง 1-2 เดือนนี้ ในฉบับนี้ทางทรีนีตี้จึงขอรวบรวมปัจจัยสนับสนุนทั้งหมดไว้ประมาณ 10 ข้อ ดังนี้

1) ค่าชดเชยความเสี่ยงของประเทศลดลง...... ทางทรีนีตี้ได้ตรวจสอบค่าชดเชยความเสี่ยงของประเทศ (Risk premium)ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งพบว่าได้มีการปรับตัวลดลงจาก 11.8% มาอยู่ที่11.1% นอกจากนั้นค่าประกันความเสี่ยงตราสารหนี้ประเทศไทย (CDS spread)ก็ปรับตัวลดลงด้วย 2 ปัจจัยนี้บ่งบอกถึงมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ดีขึ้นหลังจากผลการเลือกตั้งออกมา นอกจากนั้นRisk premium ที่ลดลงนี้จะทำให้ส่วนลดของดัชนีหุ้นไทยลดลง และทำให้เป้าหมายของดัชนีสูงขึ้นตามลำดับ

2) แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง.......โดยนับตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ในตลาดได้มีการปรับการคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จาก 14% มาอยู่ที่ 19%(อ้างอิงจาก Bloomberg) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่ถูกปรับขึ้น ได้แก่พลังงาน ธนาคาร และปิโตรเคมีอุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่ถูกปรับขึ้น ได้แก่พลังงาน ธนาคาร และปิโตรเคมีสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงของบริษัทเอกชนท่ามกลางสภาวะความเสี่ยงทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี

3) หุ้นไทยยังคงมีระดับราคาที่น่าสนใจหุ้นไทยยังคงมีราคาถูก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียด้วยกัน......  ยกตัวอย่างเช่น ระดับ forward PE ของเราที่ยังคงต่ำมาก เป็นรองเพียงแค่ประเทศเกาหลี ระดับ forward PE to growth ที่ต่ำมาก เป็นรองเพียงแค่ประเทศจีน และระดับ forward dividend yield ที่อยู่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย (อ้างอิงจาก Bloomberg)

4) สภาพคล่องในประเทศที่ยังคงเอ่อล้นอยู่..... เดือนกรกฎาคมนี้จะมีเม็ดเงินกิมจิบอนด์ที่หมดอายุไหลกลับเข้ามาในประเทศอีกระลอกหนึ่งประมาณ 15,000 ล้านบาท ...... นอกจากนั้นในเดือนสิงหาคมนี้มาตรการคุ้มครองเงินฝากของไทยจะลดลงจากการคุ้มครองเต็มจำนวน เหลือเพียง 50 ล้านบาทต่อบัญชีเท่านั้น ปัจจัย2 สิ่งนี้จะทำให้ปริมาณเงินในระบบของไทยยังคงมีมาก

5) ภาคการผลิตของโลกที่กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง...... นับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นนี้ก็ได้ถีบตัวสูงขึ้นมาจนทำให้ตัวเลขการผลิตของประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงเดือนล่าสุด

6) ภาวะเงินเฟ้อของประเทศจีนที่เข้าใกล้ถึงระดับสูงสุด....... จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดที่เป็นอยู่ใกล้สิ้นสุดลง ย่อมนำมาซึ่งฟันด์โฟลว์นโยบายการเงินแบบเข้มงวดที่เป็นอยู่ใกล้สิ้นสุดลง ย่อมนำมาซึ่งฟันด์โฟลว์ที่จะไหลเข้าสู่ทวีปเอเชียอีกรอบหนึ่ง

7) สภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังคงมีอยู่ถึงแม้มาตรการ QE2 จะสิ้นสุดลง...... จากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมาค่อนข้างแผ่วลงในช่วงหลัง ย่อมทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ต้องเลื่อนแผนการถอดถอนการกระตุ้นเศรษฐกิจ(Exit Strategy) ออกไปจากเดิม ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีมาตรการ QE3 เกิดขึ้น แต่ Fed ก็ยังจะคงนำเงินต้นและดอกเบี้ยที่ได้รับจากพันธบัตรที่หมดอายุมาลงทุนซื้อพันธบัตรใหม่ต่อไป

8) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่น่าจะถูกกดดันจากการปรับขึ้นเพดานการก่อหนี้...... ทรีนีตี้มองว่าในท้ายที่สุดแล้ว สหรัฐคงต้องมีการปรับขึ้นเพดานการก่อหนี้ของประเทศ ซึ่ง ณ ขณะนี้อยู่ที่ 14.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการdefault ของตราสารหนี้ประเทศของตนการปรับขึ้นเพดานย่อมนำมาซึ่งการก่อหนี้ของประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันค่าเงินดอลลาร์ และจะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลออกจากเงินเหรียญสหรัฐเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้งหนึ่ง

9) เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มความชันสูงขึ้น...... ณ ขณะนี้ความชันของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve) ของประเทศเกิดใหม่ทั่วโลก รวมถึงไทยลดลงอย่างมากจนถึงระดับหลังวิกฤตเลแมนใหม่ ๆ ด้วยซ้ำ ทรีนีตี้มองว่าความชันของเส้น yield curve นี้น่าจะอยู่ในช่วงจุดต่ำสุด และน่าจะกลับมามีความชันเพิ่มขึ้นในช่วงต่อไป โดยมีมีความชันเพิ่มขึ้นในช่วงต่อไป โดยมีสาเหตุหลักจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแต่ละประเทศที่ชะลอลง ซึ่งจะช่วยหนุนสภาพคล่องในตลาดทุนเป็นอย่างดี

10) ความผ่อนคลายในเรื่องปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซ...... หลังจากที่กรีซสามารถผลักดันแผนมาตรการรัดเข็มขัดเป็นกฎหมายได้ ทั้ง EU และ IMF ก็ได้มอบเงินช่วยเหลืองวดที่ 5 เป็นจำนวน12,000 ล้านยูโร ให้กับกรีซนำไปใช้จ่ายคืนหนี้ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ความกังวลของกรีซในช่วงนี้จึงทุเลาลงไปอย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเรื่องกรีซน่าจะกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นเดือนที่กรีซจะต้องครบกำหนดชำระหนี้มหาศาลอีกรอบหนึ่ง


ขอขอบคุณ ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 14 - 17 ก.ค. 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

Powered By Blogger