สวัสดีเยามย็นวันอาทิตย์ที่หวยออก00(เลขบน)ค่ะเพื่อนๆ ....ช่วงนี้ตลาดหุ้นบ้านเราหนุกหนานกับการทำwindow dressingไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ...... และจากนี้ไปถึงกลางเดือนหน้าก็คงเป็นthemeเก็งผลประกอบการไตรมาส2/55สลับกับกระแสข่าวสถานการณ์วิกฤติยุโรปที่มีเข้ามาทั้งกระแสบวกและกระแสลบสลับกันไป ....แต่ถ้าเรามองระยะยาวแล้วเพื่อนๆอยากรู้มั๊ยคะว่า โบรกเกอร์ดังๆเค้ามองครึ่งปีหลังของตลาดหุ้นไทยกันอย่างไร ถ้าอยากรู้ เรามาดูกันเลยค่ะ
BLS มองตลาด H2/55 แกว่งตัวออกข้าง-หนุนลงทุนกลุ่ม Domestic
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง(BLS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/55)เป็นอะไรที่ดูได้ยากมาก เนื่องจากตลาดฯคงจะต้องเผชิญความเสี่ยงของระบบการเงิน และเศรษฐกิจโลกซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถหา Solution ได้ เพียงแต่จะ peak มากหรือค่อย ๆ peak ไปเท่านั้น
ทั้งนี้ ภาพโดยรวมของตลาดฯใน 6 เดือนข้างหน้ามองว่าน่าจะแกว่งตัวออกด้านข้าง แต่ก็มี gap เทรดที่กว้างเล็กน้อย โดยมองกรอบดัชนี SET ในโซนของการซื้อไว้ที่ 1,050-1,100 จุด และมีเป้าหมายที่อาจจะขยับขึ้นไปสู่จุดสูงสุดที่ระดับ 1,280 จุด ซึ่งการปรับตัวขึ้นได้แต่อาจจะยื่นไม่ได้ เนื่องจากในช่วงปลายปีทางด้านสหรัฐฯอาจจะมีปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาอีก ดังนั้นจึงมองโซนของการขายไว้ในกรอบ 1,240-1,280 จุด
สำหรับการเมืองในประเทศที่จะมีการประชุมสภา ก็คงจะมีการมองที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ และพ.ร.บ.ปรองดอง แต่คิดว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นทางรัฐบาลน่าจะควบคุมได้ เพียงแต่คาดเดาได้ยากว่าจะเป็นในรูปแบบใด และสิ่งนี้อาจจะรบกวนตลาดฯเป็นช่วง ๆ
นายชัยพร กล่าวต่อว่า ในครึ่งปีลังนี้หุ้นที่น่าลงทุนยังมองเป็นหุ้นที่ให้ปันผลสูง และมีฐานะที่มั่นคงในด้านรายได้ และการสร้างผลกำไรเติบโตดี โดยหลัก ๆ จะเป็นหุ้นในกลุ่ม Domestic อย่างกลุ่ม ICT, Utility, Food และกลุ่ม Property ซึ่งกลุ่มอสังหาฯนี้สามารถเล่นเทรดดิ้งได้เนื่องจากมองว่ากำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาดี
ส่วนกลุ่มพลังงาน, น้ำมัน และถ่านหิน ยังคงลงทุนในลักษณะเทรดดิ้งได้เป็นช่วง ๆ เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวนี้จะอิงตามปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก
DBSV มองตลาด H2/55 แกว่งตัว-เชียร์หุ้น Defensive
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)หรือ DBSV กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/55)ยังคงแกว่งตัว จากความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะปัจจัยที่มาจากทางยุโรป ส่วนปัจจัยในประเทศก็ต้องรอดูสถานการณ์หลังเปิดสภาในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ว่าจะมีอุณหภูมิเป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของพ.ร.บ.ปรองดอง และการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ซึ่งทั้งสองเรื่องยังไม่แน่นอนว่าจะเป็นอย่างไร หากสถานการณ์ออกมาดีตลาดก็จะพลิกฟื้น
สำหรับกรอบการแกว่งของดัชนี SET ของปี 2555 มองไว้ที่ 1,055-1,346 จุด โดยที่ระดับ 1,055 จุด คิดค่า P/E 11.2 เท่า ส่วนที่ระดับ 1,346 จุด คิดค่า P/E 14.27 เท่า ส่วนค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,200 จุด คิดค่า P/E 12.74 เท่า ทั้งนี้มองภายใต้การอ้างอิง P/E ย้อนหลัง 7 ปี
น.ส.อาภากรณ์ กล่าวต่อว่า หุ้นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง(H2/55)ยังเน้นพวก Defensive ซึ่งเป็นหุ้นที่ความอ่อนแอต่อความผันผวนของเศรษฐกิจในระดับต่ำ และเป็นหุ้นที่อิงอุปสงค์ภายในประเทศ โดยยังเชื่อว่าอุปสงค์ภายในประเทศยังมีความแข็งแกร่ง สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายนี้ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มแบงก์, พาณิชย์, สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์
CNS มองตลาด H2/55 ไม่แน่นอนสูง แต่ยังหนุนกลุ่ม Comodity
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.โนมูระ พัฒนสิน(CNS) ได้มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/55)ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยในยุโรป หากมีการมาตรการแก้ไขปัญหาในยุโรปได้ดี ตลาดฯก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ นอกจากนี้ก็ยังต้องจับตาดูเศรษฐกิจของจีนด้วยว่าจะมีการฟื้นตัวได้หรือยังในช่วงไตรมาส 2/55 ส่วนด้านสหรัฐฯก็ต้องรอดูในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(QE)ต่อไป
ทั้งนี้ ก็ได้มีการมองเป้าหมายดัชนี SET ในระดับสูงสุดของปีนี้ไว้ที่ 1,240 จุด คิดค่า P/E 12 เท่า ส่วนดัชนี SET ในระดับต่ำสุดที่มองไว้จะอยู่ที่ 1,045 จุด คิดค่า P/E 10 เท่า ส่วนอัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน(Earning Growth)มองไว้ที่ 24%
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity)โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจจีนมีการฟื้นตัว ก็จะได้เห็นแรงซื้อสินค้า Commodity ซึ่งพวกนี้มักจะเริ่มซื้อสินค้ากันในเดือนกันยายน
PST มองตลาด H2/55 ผันผวน/เชียร์กลุ่มแบงก์-ยานยนต์-สื่อสาร
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)หรือ PST กล่าวว่า ในครึ่งหลังปีนี้(H2/55)ตลาดฯคงจะมีความผันผวนอยู่มาก อันเนื่องมาจากวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ยังไม่เคลียร์ แต่ก็จะได้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯและจีนเข้ามาช่วยดึงสภาพคล่องกลับเข้ามาได้มากขึ้น โดยปลายปีมองว่าตลาดฯน่าจะมีโอกาสของการปรับตัวขึ้นได้ ซึ่งก็ได้มองเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้(2555)ไว้ที่ 1,250 จุด เป็นจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ที่ทำไว้
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะต้องเริ่มหันมาจับตาปัจจัยทางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะในเดือนส.ค.ที่จะมีการประชุมกัน ซึ่งจะต้องดูว่าจะมีเรื่องพ.ร.บ.ปรองดอง, การแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ หรือไม่ อย่างไร ซึ่งประเด็นนี้คงจะเข้ามารบกวนตลาดฯ
นอกจากนี้ ในเรื่องของตัวเลขเงินเฟ้อของไทยก็ต้องติดตามดูด้วย เพราะที่ผ่านมาแม้ราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวลง แต่ค่าแรงในประเทศก็มีการขยับตัวขึ้น และก็มีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าด้วย จึงอาจจะมีผลกระทบเป็นทอด ๆ ได้เหมือนกัน รวมถึงต้องดูว่าหากภูมิอากาศแปรปรวนก็อาจจะกระทบต่อสินค้าเกษตรด้วยเช่นกัน
น.ส.ธีรดา กล่าวต่อว่า หากมองในมุมมองของการเติบโตในประเทศไทย ยังคงมีการเติบโตที่มาจากโครงการภาครัฐฯ ดังนั้นหุ้นที่จะแนะนำในช่วงครึ่งปีหลัง ก็คงจะเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ที่ยัง"Overweight"อยู่ จากการขยายตัวของสินเชื่อที่มีความชัดเจน และยังแนะหุ้นในกลุ่มยานยนต์ ที่น่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแนะหุ้นในกลุ่มสื่อสาร(ICT)ที่มีความชัดเจนจากการประมูล 3G ที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/55 นอกจากนี้ก็สามารถลงทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีได้ด้วย
KTBS มองตลาด H2/55 ปรับตัวขึ้น-เล็งแรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน
นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้บริหารสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี(ประเทศไทย)หรือ KTSB มองตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง(H2/55)น่าจะปรับตัวขึ้นได้ โดยรับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่ผลประกอบการน่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 3-4/55 หลังมองผลประกอบการกลุ่มพลังงานน่าจะต่ำสุดในไตรมาส 2/55 ซึ่งหากมีการฟื้นตัวขึ้นก็สร้างผลกำไรให้กับตลาดฯได้ และยังเป็นตัวหนุนตลาดฯให้ปรับตัวขึ้นได้ดี ส่วนกลุ่มแบงก์ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ด้านกลุ่มสื่อสารก็ได้รับผลบวกจากเรื่องของ 3G ดังนั้นจึงได้มองเป้าหมายดัชนี SET ในระดับสูงสุดไว้ที่ 1,270 จุด ส่วนแนวล่างก็มองไว้ที่ 1,100 จุด
ส่วนปัจจัยจากนอกประเทศมองว่าน่าจะอยู่ในสภาวะของการทรงตัวมากกว่า ทั้งเรื่องปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังเป็นลบอยู่, เศรษฐกิจของสหรัฐฯที่มีการฟื้นตัวอย่างไม่มั่นคงเท่าไร ส่วนเศรษฐกิจของเอเชียดูจะแข็งแรงกว่า แม้จีนจะมีการชะลอความร้อนแรงเศรษฐกิจลงก็ตาม
สำหรับการเมืองในประเทศถ้ามีการเลื่อนการพิจารณาในเรื่องพ.ร.บ.ปรองดองออกไปอย่างที่เป็นข่าวเกิดขึ้นล่าสุดนี้จริง ก็น่าจะเป็นผลดี ส่วนการเปิดประชุมสภาในเดือนสิงหาคมคงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พร้อมแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน, แบงก์, อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่ม Domestic plays อย่างกลุ่มอาหาร, ค้าปลีก และโรงพยาบาล ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง(H2/55)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น