สวัสดีค่ะเพื่อนๆขา....

แม่หมอสาวคุยข่าวหุ้นยังคงเป็นเพื่อนร่วมทาง(การลงทุน)เพื่อนๆเหมือนเดิม โดยนำเสนอ หุ้นมีข่าว เช้าบ่าย ค่ำ อยู่เป็นเพื่อนกันตลอดวัน ตลอดคืน .......แถมวันเสาร์มีเสริมบารมีนักลงทุนมานำเสนอเพื่อความเฮงด้วยนะคะ .... ส่วนวันอาทิตย์เป็นความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นในหัวข้ออ่านหมากตลาดหุ้นค่ะ .... สำหรับข่าวเรียลไทม์ ขอสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะสมาชิคเท่านั้นนะคะ ซึ่งเพื่อนๆสามารถติดต่อขอเป็นสมาชิคได้ที่ magicstocknews @gmail.com หรือ 086-8673392 ค่ะ


*

วันเสาร์

กูรูมองตลาดหุ้นไทยปีกระต่ายกันอย่างไร

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ อ่านหมากตลาดหุ้นวันนี้แม่หมอรวบรวมมุมมองของโบรกเกอร์ที่มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีนี้มาฝากเพื่อนๆกันค่ะ .... ก็นานาทรรศนะนะคะ แต่ในยุคข้อมูลหมุนเร็วนี้ ยังไงเพื่อนๆก็ต้องมาคอยอัพเดทข้อมูลล่าสุดกันอีกเรื่อยๆนะคะ เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอด้วยความรวดเร็วเลยละค่ะ ..... ก็ลองอ่านกันนะคะ ว่ากูรูทั้งหลายเค้ามองตลาดหุ้นไทยปีกระต่ายหมายจันทร์กันอย่างไร ..... 

บล.กิมเอ็ง ......... ตลาดหุ้นไทยปี 2554 จะยังคงให้ผลตอบแทนในระดับดี เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค โดยคาดว่าดัชนีตลาดจะสามารถปรับตัวในระดับสูงสุดที่ 1,230-1,300 จุด.......... โดยมีราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(Price to earning ratio:P/E)ที่ 13.5-14.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่า P/E ปี 2553 และค่าเฉลี่ย P/E ของตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) โดยมีปัจจัยด้านเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ที่แข็งแกร่งสนับสนุนซึ่งประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2554 จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนที่ระดับ 4.5% บจ.มีอัตราการขยายตัวของผลการดำเนินงานอยู่ที่16.7% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.84% ............ โดยกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงมาก ได้แก่ ปิโตรเคมี 67.9% อาหาร 38.8%ยานยนต์ 27.2% พลังงาน 17.8% ธนาคารพาณิชย์ 13.1% ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลจากความต้องการภายในประเทศที่ขยายตัว การควบรวมกิจการและการขยายการลงทุน รวมทั้งระดับราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังคงมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้น...........ขณะเดียวกันเงินทุนจำนวนมากมีแนวโน้มไหลเข้ามาในประเทศเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาวะการเงินในยุโรปและอเมริกาจะส่งผลดีต่อการปรับตัวของราคาหุ้นในภูมิภาครวมทั้งตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ......สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 20-25% ยังคงแนะนำให้ซื้อและถือครอง (Buy & Hold) สำหรับการลงทุนระยะยาว โดยกลุ่มหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะปรับตัวดีกว่าดัชนีตลาด ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้างพลังงาน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ เช่น กลุ่มโรงแรม โรงพยาบาลอาหาร และบันเทิง

บล.เกียรตินาคิน........ KKS ประเมินเป้าหมาย SET ปี 2554 ไว้ที่ 1,213 จุด จากการประมาณการเป้าหมายของ SET ปี 2554 ผ่าน 5 ตัวแบบที่มีความเหมาะสมที่สุดในการเชิงกลยุทธ์ และพื้นฐาน (Five-Method Valuation)......... พบว่าเป้าหมายของ SET ปี 54 ที่ได้จากค่าเฉลี่ยจากทั้ง 5 ตัวแบบอยู่ที่ 1,213 จุด ขณะที่กรอบการแกว่งในปี 54 SET จะวิ่งอยู่ในกรอบ 1,351-1,079 จุด ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมาจากตัวแบบที่ให้ค่าจากการประมาณการมากที่สุด (ค่าจากวิธี Top-end P/E multiple) และต่ำที่สุด (ค่าจากวิธี Bottom-up) ทั้งนี้เรายังคงน้ำหนักกับความเป็นไปได้ของเป้าหมาย SET ในปี 54 ที่ 1,213 จุด ........... เนื่องจาก SET ที่ระดับดังกล่าวจะซื้อ-ขายที่ระดับ Forward P/E และ P/BV ปี 54 ที่ 11.99 และ 1.98 เท่า ซึ่งยังคงต่ำกว่า (Discount) ค่าเฉลี่ยของ MSCI Asia Ex Japan ที่ 14.33 และ 2.26 เท่าอยู่ถึง 16.33% และ 12.39%

บล.เอเซียพลัส ...... ต้นปีผันผวน จากแรงขาย LTF แต่ไม่น่ากลัว LTF ที่ครบกำหนดขายต้นปี 2554 จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท จะทำให้ตลาดช่วง 2-3 สัปดาห์แรกผันผวน แต่ไม่น่ากลัว แนะนำหุ้นที่ชนะเงินเฟ้อ, หุ้นที่เข้าSET50 และหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง LTF 1.7 หมื่นล้านบาท ที่ครบกำหนดขาย จะกลับมากดดันตลาดช่วงต้นปี............ คาดเงินเฟ้อพุ่ง เลือกหุ้นกลุ่ม Commodity ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ หุ้นที่ถือข้ามปีได้ยังมีอีก 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่เข้า SET50 และกลุ่มปันผลสูง นอกจากหุ้นที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อแล้ว ........... หุ้นที่นักลงทุนสามารถถือข้ามไปปี 2554 ได้ ยังมีอีก 2 กลุ่มหลักคือ 1) หุ้นที่เข้า SET50 ซึ่งจะเริ่มใช้คำนวณต้นปี 2554 โดยหุ้นเด่นได้แก่ BTS, KK ROBINS เนื่องจากราคาหุ้นยัง Laggard 2) หุ้นที่ให้ Dividend Yield สูง โดยเน้นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลปี ละ 1 ครั้ง เช่น DELTA, SIRI, TMT, HANA เป็นต้น.........

บล.เคทีซิมิโก้ .........การลงทุนปี 54: ปล่อยไปตามกระแสเงิน .......คาดว่า SET น่าจะปรับขึ้นแตะเป้าหมายของเราที่ 1,150 จุดได้ ในช่วงประมาณเดือน เม.ย. - พ.ค. 54 ด้วยแรงหนุนจากสภาพคล่องล้นโลก ซึ่งยังส่งผลบวกทั้งต่อตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จุดเปลี่ยนให้เกิดการปรับฐานน่าจะมาจากการกลับทิศของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังมาตรการผ่อนคลายทางการเงินพิเศษรอบสอง (QE II) สิ้นสุดลงในเดือน มิ.ย. หากมีการดึงสภาพคล่องกลับสหรัฐอเมริกา (สมมติฐานไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางปัจจัยพื้นฐานของโลกที่เป็นนัย) อย่างมากก็คงกด SET ให้ร่วงลงราว 938.6 จุด ภายในระยะเวลาประมาณ 2.1 เดือนระหว่างเดือน มิ.ย. - ก.ค. 54 (อิงจากข้อมูลการปรับฐานเฉลี่ยหลังภาวะตลาดกระทิงในอดีต) หลังจากนั้น SET ก็อาจเร่งตัวกลับมาแถว1,000 จุดได้อีกครั้ง ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงท้ายปีลงทุนอะไรดีในปี 54?............. 1. สภาพคล่องล้นโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญหนุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงครึ่งแรกของปี 54 และจะผลักดันให้เงินเฟ้อกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง รอบนี้เราคาดว่า หุ้นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี อย่าง TOP,PTTCH PTTAR จะปรับตัวได้อย่างโดดเด่น .........2. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะเป็นตัวแปรนำความมั่งคั่งมาสู่เศรษฐกิจในวงกว้าง เราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างมั่นคงของอุปสงค์ ในประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอำนาจในการกำหนดราคาของผู้ประกอบการ อย่างน้อยที่สุดก็เพียงพอที่จะครอบคลุมเงินเฟ้อจากแรงผลักดันด้าน ต้นทุน อย่างไรก็ดี หากผู้ประกอบการสามารถปรับราคาได้มาก เพียงพอ ก็จะสร้างความประหลาดใจเชิงบวกต่อกำไรได้ หุ้นที่เข้ากับ ธีมการลงทุนนี้จะเป็น STEC, SCC CPALL..........3. ทิศทางการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในเอเชีย ทำให้วัฏจักรอัตราดอกเบี้ย (รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย) เป็นขาขึ้นด้วยเช่นกันเมื่อวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น มาพร้อมกับเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ย่อมเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มธนาคาร ทั้งด้านการเติบโตสินเชื่อ และการขยายส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย แนะนำ SCB KBANK.........4. ท้ายที่สุด ด้วยเราคาดว่า ตลาดจะผันผวนสูงในปี 54 หุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูง แถมกำไรยังเติบโตได้ จากการขยายกำลังการผลิต หรือแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศ หรืออำนาจในการปรับราคาจะยังให้ผลตอบแทนรวมที่น่าพอใจ กลุ่มนี้เราแนะนำ MODERN,SPALI, DCC, TVO BEC


บล. ฟินันเซียไซรัส ........แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2554 ว่า ยังเป็นช่วงขาขึ้นต่อจากปีที่ผ่านมา โดยมองแนวต้านแรกอยู่ที่ 1,050 จุด และมีแนวรับสำคัญที่ 1,005 จุด ซึ่งเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ จะยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อไป........... เพราะจากสถานการณ์ในต่างประเทศ ยังพบว่าไม่มีสัญญาณที่ดีเท่าที่ควรหลายแห่ง เช่น ปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรป สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเขน จะเป็ฯปัจจัยสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินจำนวนมากยังไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย......ส่วนสถานการณ์ในประเทศมองว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อตลาดเช่นเดิม แต่มองว่าเมื่อรัฐบาลประกาซยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินตั้งแต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดหุ้น เพราะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อการเข้ามาลงทุนในไทย และมองว่าเป็นการปูทางเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งในอนาคต ซึ่งยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจต่อนานาประเทศ........“ภาพกว้างเรามองว่าในปีนี้ ดัชนีจะแตะจุดสูงสุดที่ 1,200 จุด P/E ประมาณ 12 เท่า โตขึ้นจากปีนี้ประมาณ 20%”......บริษัทประเมินดัชนีปีหน้าไว้ที่ 1300 จุด อิง P/E ที่ 16.7 เท่า โดยเชื่อว่าเม็ดเงินจากต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในไทย จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนต่างชาติจึงต้องมองหาประเทศเกิดใหม่เข้าลงทุน ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้รอซื้อหุ้นเมื่อดัชนีอ่อนตัว เนื่องจากเชื่อว่าในช่วงต้นปีตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนต่อเนื่องจากปลายปี 53


บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส...........แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มองว่าฐานของตลาดจะใหญ่ขึ้น แต่ดัชนีจะเติบโตยากกว่าที่ผ่านมา และจะมีความผันผวนมากกว่า แม้ภาพรวมหลายคนยังมองในเชิงบวก โดยในปีนี้ ประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 18% ดัชนีน่าจะอัพไซด์ต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายทั้งปีที่ 1,200 จุด แต่มองว่าจะหาหุ้นลงทุนไม่ง่ายเหมือนปีก่อน เพราะหุ้นหลายตัวราคาปรับตัวสูงขึ้นแล้ว อีกทั้งจะมีปัจจัยเสี่ยงหลายเรื่องเข้ามากระทบ อาทิ ปัญหาหนี้สาธารณในกลุ่มประเทศยุโรป สถานการณ์ของสหรัฐอเมริกา ........ส่วน กระแสเม็ดเงินไหลเข้าไทยในปีนี้ น่าจะเข้ามาอยู่แต่ต้องรอดูว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าภูมิภาคเอเชียมากน้อยแค่ไหน โดยในปี53 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้นำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่วอลุ่มในการซื้อขายปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าปีนี้ จะเป็นการลงทุนในลักษณะรายบุคคลมากกว่า........ เรามองปี54อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลงจากปี53ที่โตอยู่ในระดับ 8 -8.5%โดยในปีนี้จีดีพีน่าจะเติบโต 4.5% ซึ่งจะคล้ายกับที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ......นอกจากนี้ มองว่าในปี นี้ น่าจะมีการออกสินค้าประเภทเฮดจิ้งเพิ่มขึ้น หุ้นกู้อนุพันธ์ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยหนุนปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นได้ในระดับหนึ่ง โดยปัจจัยเหล่านี้ น่าจะผลักดันให้มาร์เกตแคปของตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งน่าจะมีหุ้นไอพีโอใหม่ๆเข้ามาในตลาดอีกมาก จึงน่าจะได้เห็นมาร์เกตแคปปรับตัวขึ้นไปแตะ 10 ล้านล้านบาทได้..........

บล.บัวหลวง .........มองว่า ดัชนีหุ้นไทยในปีหน้ายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องจากปีนี้ โดยให้เป้าหมายดัชนีที่ 1200 จุด และคาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุนรวมเงินปันผลไว้ที่ 20% อย่างไรก็ตามคาดว่าแนวโน้มดัชนีฯในช่วงครึ่งแรกปี 54 มีโอกาสปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบัน 7-10% หรือมีโอกาสหลุดระดับ 1,000 จุด เนื่องจากในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่นักลงทุนจะขายทำกำไรออกมา เพื่อติดตามตัวเลขผลประกอบการ ทั้งไตรมาส 4/53 และไตรมาส 1/54 นอกจากนี้ประเมินว่ารัฐบาลน่าจะมีการประกาศยุบสภาหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงเดือนเมษายน 54 โดยกรณีดังกล่าวจะกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ในระดับที่ไม่เกิน 5% ............... สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปีหน้าต้องจับตาอัตราเงินเฟ้อว่าจะปรับตัวขึ้นมากน้อยเพียงใด ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมัน ราคาอาหาร,เงินเดือนข้าราชการ และค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation)ไม่สูงเกิน 4.5% จะไม่กระทบต่อตลาดหุ้น แต่หากมากกว่าระดับดังกล่าวก็อาจจะส่งผลให้แรงขายหุ้นออกมา เนื่องจากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่มากกว่า ขณะเดียวกันต้องติดตามปัญหาการเงินและเศรษฐกิจในยุโรปว่าจะผ่านพ้นวิกฤติไปได้หรือไม่............ส่วนหุ้นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของกำไรโดดเด่น คือ กลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่งได้รับผลดีจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยประเมินว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรล โดยอาจเห็นราคาปรับตัวสูงสุดที่ 105 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้หุ้นพลังงาน Outperform เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นในช่วงครึ่งปีหลัง 54  .............. โดยหุ้นที่คาดว่ากำไรเติบโตมากสุดในกลุ่มพลังงาน คือ PTTCH อยู่ที่ 80% รวมทั้ง PTTAR- TOP IRPC ที่มีโอกาสทำกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) และให้ราคาเป้าหมายของ PTTCH ในปีหน้าไว้ที่ 182 บาท PTTAR ไว้ที่ 42 บาท และ IVL อยู่ที่ 64 บาท.............ประเมินว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีโอกาสทำกำไรเติบโต 100% เมื่อเทียบกับฐานในปีนี้ที่ค่อนข้างต่ำ โดยบางบริษัทประสบภาวะขาดทุน ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลัง 54 จะมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ส่งผลให้มีการลงทุนในโครงการก่อสร้างมากขึ้น ............. ส่วนกลุ่มอาหารคาดว่ากำไรจะโตประมาณ 15% โดย TUF กำไรจะโตประมาณ 32% เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการเข้าซื้อกิจการ MW Brands และ CPF ที่คาดว่ากำไรจะโต 12% สุดท้ายกลุ่มพาณิชย์และธนาคารที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตในระดับใกล้เคียงกันที่ 20%............


บล.พัฒนสิน ......... ประเด็นสำคัญ:SET เดือนแรกของปี 2011 คาดว่าตลาดจะมีทิศทางขึ้นไม่รุนแรงนัก /หุ้นพลังงาน คาดว่าหุ้นพลังงานจะยังคงเป็นหุ้นที่โดดเด่น ต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. นี้ /ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า พุ่งขึ้นทำยอดสูงสุดใหม่ตั้งแต่ต้นปี ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค.......... . คาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวระหว่าง 1020-1050 จุด โดยได้แรงหนุนจากหุ้นหมวดพลังงานต่อเนื่อง สาเหตุจากราคาน้ำมันดิบใกล้ US$100 .......... โดยหุ้นที่โดดเด่น IRPC มีโอกาสขึ้นต่อสู่ระดับ 7.00 บาท ESSO มีแนวโน้มเปลี่ยนกรอบซื้อขาย เป็น 8.00-10.00 บาท TOP เป้าหมายทดสอบแนวต้าน 88.00 บาท และ BCP มีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องถึง 21.00 บาท หุ้นทางเทคนิค: “ซื้อเก็งกำไร” IRPC, ESSO, TOP เทคนิค: คาดว่าตลาดมีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน และ SET มีเป้าหมายทดสอบแนวต้าน 1050-1055 จุด


บล.ไทยพาณิชย์........ คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นปี 54 ยังคงไต่ระดับขึ้นได้ที่ 1,200 จุด สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ คาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 54จะยังคงโมเมนตัมขาขึ้นต่อเนื่องจาก ปี 2553 แต่ระดับความแรงจะไม่เท่าเดิม...........  ตั้งเป้าหมายดัชนีปี 2554 ที่ 1,200 จุด โดยอิงกับ PE ปี 2554 ระดับ 14 เท่า แนะนักลงทุนติดตามประเด็นการลงทุน ทั้งด้านอัตราดอกเบี้ยในประเทศ การบริโภค การฟื้นตัวของเงินลงทุนทางตรงจากนักลงทุนต่างประเทศ (FDI) และการพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานในอาเซียน .............. หุ้นเด่นปี 2554 ได้แก่ KBANK KTB BANPU PTTCH PS AMATA SCC HMPRO และ STEC

บลจ.ไอเอ็นจี........ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีหน้ายังคงอยู่ในทิศทางบวก โดยคาดว่าดัชนีฯจะอยู่ที่ 1,150-1,200 จุด บนสมมติฐาน P/E ประมาณ 12 เท่า และมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ที่ระดับ 14 เท่า เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยเป็นช่วงขาขึ้น ค่า P/E ของตลาดหุ้นจึงควรสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ส่วน P/E เฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 12.7 เท่า ........สำหรับปัจจัยบวกที่สนับสนุนตลาดหุ้นไทยในปีหน้า ได้แก่ การอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ทิศทางเงินดอลลาร์อ่อนค่า และทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นขาขึ้น ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทยยังดีอย่างต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงภาคเอกชนอยู่ในเกณฑ์ดี รวมทั้งการลงทุนภายในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง .........ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาวปีหน้า ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เช่น กลุ่มธนาคาร นอกจากนี้ผลจากมาตรการ QE น่าจะทำให้กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มปิโตรเคมี และพลังงาน


บลจ.กสิกรไทย......... ทิศทางตลาดหุ้นในปีหน้ามองว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ 1,200 จุด แต่ความผันผวนจะยังมีค่อนข้างมาก โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสแรกปีหน้าจะเป็นจังหวะของการพักฐาน เนื่องจากดัชนีปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแล้ว ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปีหน้า คาดว่าจะเป็นปัจจัยจากภายนอกประเทศ คือ เศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรป ซึ่งต้องติดตามดูว่าจะสามารถฟื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด

บล.ธนชาต.......... คาดว่าหุ้นพลังงานจะยังคงเป็นหุ้นที่โดดเด่นต่อเนื่อง ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. นี้ ซึ่งราคาหุ้นมีแนวโน้มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เข้าใกล้ US$100/bbl เมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของหุ้นหมวดพลังงานสูงสุดอยู่ที่หุ้นกลุ่มโรงกลั่นนำโดย IRPC ที่ราคาหุ้นในเดือน ธ.ค. พุ่งขึ้นถึง 40% และมีโอกาสขึ้นสู่ระดับ 7.00 และ 7.50 บาท ถัดมาคือ ESSO ราคาในเดือน ธ.ค.พุ่งขึ้น 22% และยังคงเป็นหุ้นที่มีโอกาสขึ้นแข็งแกร่งทะลุ 8.10 บาทได้ โดยมีแนวโน้มเปลี่ยนกรอบซื้อขายจากเดิมที่ระดับ 6.00-8.00 บาท เป็นกรอบใหม่ระหว่าง 8.00-10.00 บาท มีเป้าหมายหลักอยู่ที่ 10.00 บาท สำหรับ TOP ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นถึง48% ใน 4Q10 เป็นจังหวะซื้อเก็งกำไรได้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ 88 บาท และ BCP มีแนวโน้มขึ้นไปที่ระดับ 21.00 บาท ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า พุ่งขึ้นทำยอดสูงสุดใหม่ตั้งแต่ต้นปี ด้วยการทะลุUS$92/bbl โดยในเดือน ม.ค. 11 มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในระดับ US$89-97/bbl ............ขณะเดียวกัน คาดว่า SET เดือนแรกของปี 2011 คาดว่าตลาดจะมีทิศทางขึ้น
ไม่รุนแรงนัก โดยดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1020-1070 จุด และดัชนี SET50 เคลื่อนไหวระหว่าง 710-750 จุด ในขณะที่ 1Q11 คาดว่าจะเคลื่อนไหวระหว่าง 970-1115 จุด และ SET50จะเคลื่อนไหวระหว่าง 670- 780 จุด ในขณะที่คาดว่าจะได้แรงหนุนจากตลาดต่างประเทศที่เริ่มต้นปีด้วยการบวกขึ้นเกือบทุกตลาดทั้งในยุโรปและอเมริกาซึ่งขึ้นในระดับ 0.8%-2.5% โดยมีตลาดสหรัฐที่ขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ หนุนดัชนี SET ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. ให้มีทิศทางขึ้นต่อไปที่ระดับ 1050 จุด


บล.ซีแอลเอสเอ ........ CLSA ให้เป้า SET1,200 จุด หุ้น Top pick คือ BBL, KTB, PTT, HMPRO SCC


บล.ซิตี้กรุ๊ป .........CITI คาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ไทยปี 11 ที่ 4.3% นำโดยภาคการลงทุน และการบริโภค แต่การส่งออกชะลอตัว.......... CITI แนะนำ OW กลุ่มธนาคาร จีน, ไทย, เกาหลี เนื่องจากการปรับคาดการณ์ และแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น...... เลือก KBANK เป็นหนึ่งใน Regional top Buys และ TMB เป็นหนึ่งใน Regional top Sells

บล.เมอริลลินซ์ .......... ML รายงาน MSCI Thailand ปรับตัวขึ้น +3.5% ในเดือน ธ.ค. (MSCI EM Asia +6.2%) โดยราคาหุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานปรับตัวขึ้นมากที่สุด และ สื่อสารปรับตัวลงมากที่สุด .......... ML รายงานผลตอบแทนจากตลาดทุนในตลาดหุ้นประเทศกลุ่ม EM ปี 10 ที่ 16.4% outperform ตลาดหุ้นประเทศกลุ่ม DM (ผลตอบแทนปี 10 ที่ 9.6%) ............ ML คาดการณ์ BoT ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ในปีนี้ คาดการแข็งค่าของ THB ในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้ BoT ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในวันที่ 12 ม.ค. นี้

คู่หูคู่หุ้น.........เกาะติดหุ้นเด่นปีเถาะ สอยเก็บรับเหมา-พลังงาน โดยภาพรวมความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มป.ศก.เกิดใหม่ในเอเชีย ที่ได้รับผลบวกจากเงินทุนเคลื่อนย้ายจำนวนมหาศาลที่ไหลออกจากประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (EU) ทั้งนี้ศก.ขยายตัวได้ดี และนย.การเงินโลกที่ผ่อนปรน ประเมินว่าศก.ไทยปี 54 จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนที่ 4.5% มีอัตรากำไรขยายตัวกำไรต่อหุ้นที่ 16.47% และอัตราปันผลที่ 3.84%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

Powered By Blogger