สวัสดีค่ะเพื่อนๆขา....

แม่หมอสาวคุยข่าวหุ้นยังคงเป็นเพื่อนร่วมทาง(การลงทุน)เพื่อนๆเหมือนเดิม โดยนำเสนอ หุ้นมีข่าว เช้าบ่าย ค่ำ อยู่เป็นเพื่อนกันตลอดวัน ตลอดคืน .......แถมวันเสาร์มีเสริมบารมีนักลงทุนมานำเสนอเพื่อความเฮงด้วยนะคะ .... ส่วนวันอาทิตย์เป็นความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นในหัวข้ออ่านหมากตลาดหุ้นค่ะ .... สำหรับข่าวเรียลไทม์ ขอสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะสมาชิคเท่านั้นนะคะ ซึ่งเพื่อนๆสามารถติดต่อขอเป็นสมาชิคได้ที่ magicstocknews @gmail.com หรือ 086-8673392 ค่ะ


*

วันเสาร์

มุมมองSET ของแต่ละโบรกเกอร์10/10/53

กู๊ดมอร์นิ่งซันเดย์ค่ะเพื่อนๆขา ....... อ่านหมากตลาดหุ้นวันนี้แม่หมอสาวขอนำเสนอ มุมมองSET ของแต่ละโบรกเกอร์ค่ะ ......... แต่เนื่องจากข้อมูลเปลี่ยนแปลงเร็ว และ การupdateข่าวสาร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามนะคะ ..... แม่หมอได้รวบรวมมุมมองที่โบรกเกอร์มองไว้ประมาณ1-2สัปดาห์ที่ผ่านมา มาให้เพื่อนๆอ่านกันซึ่งเป็นช่วงที่เงินบาทยังไม่หลุด30บาท  และยังไม่มีข่าวคลังเตรียมเสนอครม วันที่ 12/10/53 เกี่ยวกับการแก้ปัญหาบาทแข็ง  รวมถึงผลประกอบการไตรมาส3/53ก็ยังไม่ประกาศออกมา ....ก็ ลองอ่านดูนะคะ พอเป็นไอเดียนะคะ .....



บล.ทิสโก้........7/10/53  คาดสิ้นปีหุ้นไทยแตะ 1000 จุด เตือนอัพไซด์เหลือไม่มาก เหตุราคาเริ่มแพง พีอีพุ่งแตะ14 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่า P/E ตลาดก่อนหน้านี้ที่ 10 เท่า อีกทั้ง ปัจจุบันการซื้อขายอยู่บนพรีเมี่ยมที่ 5% จากก่อนหน้านี้ในช่วงก่อนวิกฤตการเมือง ซื้อขายที่ Discount ประมาณ 20-30% โดยตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นใน ภูมิภาค ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ซื้อขายที่พรีเมี่ยม ประกอบไปด้วยตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนที่เหลือคือ ตลาดหุ้นเกาหลีและตลาดหุ้นจีนที่เริ่มปรับตัวลดลง ที่ซื้อขายอยู่บน Discount ........ 28/9/53 ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ เงินต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้นอีกไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท และมีเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ประมาณ3 หมื่นล้านบาท มีส่วนดันให้ดัชนีแตะระดับ 1,050-1,100 จุดได้ นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิรอบนี้ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวมแล้ว 54,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ครอบคลุมกับเม็ดเงินลงทุนที่ได้ขายไปช่วง 2 เดือนที่ประเทศมีปัญหาการเมืองช่วงเม.ย.-พ.ค. 2553 จำนวน 73,000 ล้านบาท ในช่วง ที่เหลือของปีนี้น่าต่างชาติน่าจะเข้ามาซื้ออีกประมาณ 40,000 ล้านบาท และท้ายปีจะเป็นช่วงการเข้าซื้อของกองทุนแอลทีเอฟ ซึ่งประเมินว่าประมาณ 30,000 ล้านบาท รวมแล้วจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีก 70,000 ล้านบาท มีส่วนดันให้ดัชนีแตะระดับเป้าหมายใหม่ 1,050-1,100 จุด


บล.โกลเบล็กซ์ ....... 7/10/53 คาดว่าตลาดไทยจะถึงระดับ1000จุดได้ในปลายไตรมาส3ถึงต้นไตรมาส4 ซึ่งประเมินว่าจะยืนที่1045จุดสะท้อนให้เห็นว่าเงินทุนจากต่างชาติยังไหลเข้าตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระหว่างนี้นักลงทุนควรทยอยลดการลงทุนในระหว่างที่ดัชนีไต่ระดับขึ้นไปที่1000จุดเพื่อลดความเสี่ยง .......


บล.ไทยพาณิชย์......... 7/10/53 แนะนักลงทุนขายหุ้นปรับพอร์ตลดความเสี่ยง เหตุตลาดหุ้นไทยผันผวน มากกลยุทธช่วงนี้ควร เลือกซือ้หุ้นราคาไม่แพง และมองปันผลประกอบด้วย ..........13/9/53 ภาพรวมตลาดหุ้นตอนนี้เป็นการ "สลับกลุ่มเล่น" ส่วนความกังวลเรื่องที่จะเกิด "ภาวะถดถอยรอบสอง" ได้ถูกคลี่คลายออกไปแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยจึงยังเป็น "ขาขึ้น" อยู่ คิดว่าเงินต่างชาติยังเข้าหุ้นไทยได้อีกเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจเราค่อนข้างดี แต่ราคาที่ขึ้นมาสูงก็จะคอยกดดัน........ ถ้าหุ้นไทยขึ้นมายืน 1,000 จุดได้ภายใน "ปีนี้" จะต้อง "ระวังตัวอย่างมาก" เพราะจะซื้อขายกันที่ Forward P/E Ratio 14 เท่า ระยะสั้นๆ ถือว่า "แพง"..... แต่ถ้ารอถึงปีหน้า (2554) ระดับ 1,000 จุด บนอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น SET จะเทรดกันที่ P/E Ratio 12.5 เท่า ซึ่งเป็น Fair Value ที่สมเหตุสมผล......กลุ่มหุ้นที่ยังเข้าลงทุนได้ แนะนำ "บิ๊กแคป" ในกลุ่มพลังงาน แบงก์ สื่อสาร วัสดุก่อสร้างและปิโตรเคมี ส่วนหุ้นตัวเล็ก (หุ้นปั่น-หุ้นเก็งกำไร) น่าจะ "หมดรอบใหญ่" ไปแล้ว



บล.เครดิตสวิส .......... 7/10/53 คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเริ่มพักฐานระยะสั้นในเดือนตุลาคม เนื่องจากมีปัจจัยลบจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และมีความเป็นไปที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจชะลอลง ระบุว่า นักลงทุนควรทยอยขายหุ้นที่ราคาสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว แต่ให้ถือหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งไว้ในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม เครดิตสวิสคาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจกลับมาเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม เนื่องจากปริมาณสภาพคล่องยังคงมีอยู่สูงจากกระแสเงินทุนไหลเข้า ในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 33% ทำให้เป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ข่าวเกี่ยวกับการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะดึงความสนใจของนักลงทุนในช่วง 3 - 6 สัปดาห์ข้างหน้า ความหวั่นเกรงว่าอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นยังคงปกคลุมตลาด" บทวิเคราะห์เครดิตสวิส ระบุ ทั้งนี้ เครดิตสวิสแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน แต่เครดิตได้มีมุมมองการคาดการณ์ไปในทางบวกเกี่ยวกับคดียุบพรรคดังกล่าว..... 30/9/53 CS จัดอันดับตลาดหุ้นของประเทศในภูมิภาคที่มีการปรับตัวได้ดีในช่วงระยะเวลาที่ผ่าน ได้แก่ ฮ่องกง, เกาหลี, และไทย ส่วนประเทศที่ปรับตัวได้แย่ สิงคโปร, จีน, อิโดนีเซีย....... CS ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศเอเชียของ 10 เพิ่มจาก 8.7% เป็น 8.8% แต่ปรับลดปี 11 ลงมาอยู่ที่ 7.4%...... หุ้นเอเชียยังมีปริมาณน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตโดยนับตั้งแต่ช่วงปี 2006 ที่กองทุนต่างชาติถอนเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นปัจจุบันปริมาณการซื้อสุทธิยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ............ CS มีมุมมองลบต่อหุ้นกลุ่ม consumer ไทย แต่ยังคงมีมุมมอง overweight ในหุ้นไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่ยังคง undervalued (กลุ่ม energy และ financial)โดยปัจจุบันดัชนีของไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์มีการปรับตัวสูงขึ้นกว่า high เดิม (2007/8) 1%,2%,14% ตามลำดับ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ P/BV ที่ต่ำเมื่อเทียบกับ ROE ที่โดดเด่น

บล.พัฒนสิน........... 5/10/53 เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา(ปลายเดือน ตค) เงินทุนชะลอไหลเข้าเอเชียทุกประเทศ ซึ่งเป็นจุดเตือนว่าตลาดเอเชีย รวมทั้งไทยได้ถึงจุดสูงสุดไปแล้ว โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม แม้นักลงทุนต่างชาติจะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย แต่มูลค่าซื้อสุทธิเพียง 688 ล้านบาท ลดลงถึง 80% จากวันก่อนหน้าจึงแนะนำนักลงทุนให้ขายหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ได้ตอบรับข่าวดีไปมากแล้ว บางตัวราคาได้ขึ้นมาแตะราคายุติธรรม (แฟร์แวลู) ปี 2554 แล้ว..........



บล.กสิกรไทย ........ 5/10/53 มองดัชนีปี 2553 วิ่ง 1,040 จุด แนะนักลงทุน เพิ่มพอร์ตลงทุน 30% เน้นกลุ่มแบงก์ พลังงาน และอิเล็กทรอนิกส์ สั่งจับตาเดือนธันวาคม คาดเงินทุนต่างประเทศทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอีกระลอก ...... โดยมีปัจจัยผลักดันคือ......... 1) ผลกำไรบริษัทดีใน 3Q-4Q/53 เห็นว่าตัวเลขกำไรสุทธิจะเติบโตทั้ง YoY และQoQ อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มสดใสในQ3 และQ4 ได้แก่กลุ่มรับเหมา กลุ่มการแพทย์ กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มโรงกลั่น กลุ่มที่คาดว่าจะมีผลกำไรใน 2ไตรมาสสุด้ายโตสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ประกอบด้วยกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มรับเหมา กลุ่มการแพทย์ กลุ่มนิคม กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย กลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มโรงกลั่นมีแนวโน้มกำไรเป็นบวกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้......2) กระแสเงินทุนจากต่างประเทศ บวกกับการแข็งค่าของเงินบาทไทย โดยKBANK ประมาณอัตราแลกเปลี่ยนไทยและดอลลาร์ที่ 30.20 บาทและ 29.50 บาทในสิ้นปีหน้าซึ่งจะยิ่งดึงดูดเม็ดเงินให้ไหลเข้าตลาดไทยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากทิศทางอัตราดอกเบี้ย......และ 3)กระแสเงินทุนภายในประเทศ กองทุน LTF และ RMF เชื่อว่าจะเกิดขึ้นซ้ำอีกในปีนี้เพราะผุ้ถือหน่วยกองทุนหุ้น Equity Fund มีการขายกองทุนหุ้นออกมาในช่วง 9 เดือนแรกของปี 53

บล.เอเซียพลัส ....... 4/10/53 ระบุ หุ้นไทยมาถึงจุดที่มีความเสี่ยงต่อการปรับฐานระยะสั้น แนะลดพอร์ตลงทุนเหลือ10-15% เลือกขายหุ้น beta สูง .........


บล.ซีแอลเอสเอ ........ 4/10/53 CL คาดเป้าหมาย SET ที่ 1200 จุด (+23%) .......


บล.โนมูระ ........ 1/10/53 Nomura ออกรายงานกลยุทธ์ The absence of the normal III คาดหุ้นเอเชียขึ้นต่อ (คงมุมมองเดิมที่ว่าหุ้นเอเชียจะแรลลี่ไปถึงเดือน พ.ย.) จาก1.ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เพราะแนวโน้มเฟดออก QE เพิ่มเติม ขณะที่ดอกเบี้ยเอเชียสูงกว่าจูงใจให้เงินไหลเข้า 2.ตลาดพันธบัตรที่เข้าภาวะฟองสบู่ และเงินไหลเข้าตลาด


บล.ภัทร ........ 29/9/53 ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสไปได้ไกลถึง 1.7 พันจุด หรือคิดพีอี 20 เท่า หากเศรษฐกิจแข็งแกร่ง การเมืองมีเสถียรภาพซึ่งประเมินจากกำไรต่อหุ้นปี 2555 แต่หากใช้กำไรต่อหุ้นปี 2554 ดัชนีสิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ 1,350 จุด โดยไม่นับความเสี่ยงจากมาตรการดูแลค่าเงินบาทแข็ง คดียุบพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และการชุมนุมทางการเมืองอย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น คาดตลาดจะปรับฐานในช่วง2-3 เดือนข้างหน้า....... ประเมินตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและปรับเพิ่มขึ้นหลังฟันด์โฟลว์ไหลเข้า แนะลงทุนหุ้นใหญ่แบงก์ วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์....... คาดโครงสร้างค่าธรรมเนียมใหม่ในกรณีเลวร้ายสุดจะกระทบกำไร BANK ทั้งระบบ 7 พัน ลบ/ปี หรือ 4-5%..... คาดยอด Presale ดีต่อเนื่องใน 3Q10 แต่รายได้จะอ่อนตัวจากยอดโอนที่ลดลง คาดรายได้+กำไรฟื้นตัวใน 4Q10


บลจ.กรุงไทย .......... 21/9/53 คาดดัชนีหุ้น 1,000-1,100 จุดช่วง 3-6 เดือน Flow ยังไหลเข้า ภาวะตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอาจมีเทขายออกมาบ้างจากประเด็นการประมูลใบอนุญาต 3G ที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าจะยังสามารถเปิดประมูลได้หรือไม่ จึงมีขายหุ้นสื่อสารออกมาเป็นระยะ ..... แต่ในระยะยาวถึงปีหน้ากำไรบริษัทจดทะเบียนยังจะเติบโตได้อีกแน่นอน โดยคาดว่าปี 54 กำไร บจ.จะเติบในอัตรา 18% และหลังจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองยุติไปเมื่อเดือน พ.ค. ทำให้sentiment ของตลาดดีขึ้นตามลำดับ .........


บล.เกียรตินาคิน ........ 15/9/53ปรับเป้าดัชนี SET ปี 53 มาที่ 970 จุด จากเดิม 950 จุด ภายใต้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 53 ขยายตัว 6.7-7.3% ส่วนกรอบล่างให้ไว้ที่ 830 จุด โดยคาดว่าจากนี้ไปเงินทุนจากต่างประเทศยังรอไหลเข้าตลาดหุ้นอีก 1.8 หมื่นล้านบาท ลุ้นความชัดเจน 2 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ การเมืองและ 3G .......... ขณะที่ประเด็นที่กังวลว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้าหรือไม่นั้น มองว่าใน 2 สัปดาห์นี้คงยังไม่มีอะไรออกมาจนกว่าผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่จะเข้ามารับหน้าที่ในต้นเดือน ต.ค.......... คาดช่วงที่เหลือของปีนี้ กนงไม่ขึ้นดอกเบี้ยเหตุป้องกันบาทแข็งค่า ชี้หุ้นไทยมีโอกาสหลุด900จุด เหตุต่างชาติหวั่นมาครการคุมเงินทุนไหลเข้า คาด4เดือนสุดท้ายดัชนีแกว่ง 830-970 จุด


บล.ยูบีเอส ..... 13/9/53 UBS ปรับเป้า MSCI-Asia Ex Japan ปีนี้จาก 600 ลงสู่ 570 ปรับ Korea จาก Underweight สู่ Neutral และปรับ Malaysia ลงสู่ Underweight แนะนำขายทำกำไร Indonesia ....... UBS คาดกลุ่มคอนเทนเนอร์ผ่านจุดสูงสุดเร็วกว่าคาด คาดหุ้นในกลุ่มจะอ่อนตัวลงใน 4Q10


บล.บีเอ็นพีพี ...... 13/9/53 BNPP ปรับ MSCI-Thailand จาก Underweight สู่ Neutral คาดเป้าหมาย SET 12 เดือนข้างหน้าที่ 1050..... BNP ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตลาดไทยขึ้นจาก Underweight เป็น Neutral และให้เป้าหมาย SET Index 12 เดือนข้างหน้าที่ 1,050 จุด


บล.กิมเอ็ง............ 13/9/53 ดัชนีตลาดหุ้นในช่วงสิ้นปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นไปแตะ 1,000 จุด จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 900 จุด หลังจากเดือนก่อนดัชนีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 940 จุด ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก โดยประเทศไทยยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วยการส่งออกที่มีการค้าเกินดุล การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนกลับมาดีขึ้น โดยภาพรวมในปีนี้คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยมีโอกาสเติบโตถึง 8% ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและค่าเงิน


บล.ฟินันเซีย ไซรัส ....... 13/9/53 ยังแนะนำนักลงทุนรอตลาด "ปรับฐาน" ก่อนแล้วถึงค่อยเข้าไปซื้อ แม้ตอนนี้ SET ได้ทำ "นิวไฮ" ในรอบ 14 ปีไปแล้ว แต่ถ้าดูจากกระแสฟันด์โฟลว์แล้วน่าจะยังคงเข้าต่อเนื่อง กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ต้องหาหุ้นที่ยัง "ไม่ค่อยขึ้น" (ล้าหลังตัวอื่น) ยังมีอยู่ แม้บางตัวอาจจะซื้อแพงบ้างก็ไม่เป็นไรขอให้ "ขายแพงกว่า".......... "หุ้นไทย 1,000 จุด ได้เห็นกันแน่ เราแนะนำหุ้นที่ราคายังไปไม่ถึงปัจจัยพื้นฐานในกลุ่มธนาคารเช่น SCB, KBANK, BAY, TCAP ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ DELTA, HANA อสังหาริมทรัพย์ QH และอาหาร CPF ส่วนกลุ่มพลังงานน่าจะขึ้นได้อีกเพราะราคายังไม่ทำนิวไฮ ........ ให้ระวัง SET ที่แถวๆ 940-950 จุด เพราะเป็นแนวทดสอบก่อนจะไปถึง 1,000 จุด เพราะหุ้นไทยหลังขึ้นไปที่ 1,700 จุด (4 มกราคม 2537) ก็ไม่เคยวิ่งขึ้นบนมาก่อนมีแต่วิ่งลงล่าง ถ้าวิ่งขึ้นไปถึง (940-950 จุด) อาจจะมีการปรับฐานตรงนั้น แต่ยังมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 900-910 จุด"



บลจ.ศรีอยุธยา ......... 13/9/53 หุ้นไทยตอนนี้ไม่ไกลเกินเอื้อมก็จะถึง 1,000 จุดได้ ยังขาดอีกแค่ 7-8% เท่านั้น คาดว่าจะได้เห็น "ปีนี้" เลยเผลอๆ เดือน "กันยายน-ตุลาคม" ....... “ถ้านับย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2550 ทุกประเทศในเอเชียเงินฝรั่งเข้าจนเป็นยอดซื้อสุทธิหมดเหลือแต่ไทยที่ยังเป็นยอดขายสุทธิอีกตั้ง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นอยู่กับ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่สำคัญยังมี P/E Ratio ต่ำมาก กลุ่มแบงก์ ที่ผลประกอบการจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ปีหน้าอาจจะกลับมา "บูมอีกรอบ" ถ้ารัฐบาลลงทุนรถไฟฟ้าความเร็วสูงจริงนอกจากใช้งบลงทุนมหาศาลแล้วยังมีผลให้ที่ดินทั่วประเทศมีราคาสูงขึ้นจะส่งผลดีต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ด้วย ......


บลจ.วรรณ ......... 13/9/53 มองตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จนถึงปี 2554 ทิศทางยังคงเป็น "ขาขึ้น" ชัดเจน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 76% ซึ่งสูงกว่าปกติมาก ส่งสัญญาณว่าตลาดจะมี "ความผันผวนสูง" คาดว่าตลาดหุ้นน่าจะมีการปรับฐานระหว่างทางบ้าง คิดว่าระดับ 870-890 จุดน่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมที่จะเข้าช้อนซื้อ ถ้าวิเคราะห์ทางเทคนิคจุดต่ำสุดน่าจะอยู่ที่ 800-910 จุด"........ สำหรับการลงทุนจากนี้น่าจะโฟกัสไปที่หุ้น "บิ๊กแคปใน SET 50" เป็นหลัก เนื่องจากแนวโน้มจากนี้นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตอนนี้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์หมดแล้ว ของไทยเทียบกันก่อนเกิดวิกฤติเลแมน บราเธอร์ส ยังติดลบอยู่ถึง 74% นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่แข็งยังจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกด้วย .......


เป็นอย่างไรบ้างคะเพื่อนๆ ยิ่งสูงยิ่งหนาวรึเปล่าคะ  ..... แต่ยังไงเพื่อนๆต้องตามupdateข้อมูลเรื่อยๆนะคะ  รวมถึงการติดตาม fund flow ค่าเงิน และ มาตรการที่ทางการอาจจะออกมาแก้ปัญหาบาทแข็ง .... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตลาดหุ้นเป็นดัชนีที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจภาพรวม หากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้อย่างแข็งแรงและต่อเนื่อง แม้SET จะยิ่งสูงก็อาจหนาวได้อีกค่ะ...... เพราะฉะนั้น ผลประกอบการไตรมาส3ที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาต้องติดตามอย่างใกล้ชิดนะคะ รวมถึงผลกระทบของบาทแข็งต่อการส่งออกที่อาจระทบจีดีพีของไทยในอนาคตด้วยค่ะ ...... อย่าลืมนะคะติดตามได้ที่นี่ แม่หมอสาวคุยข่าวหุ้น .... แม่หมอจะคอยupdate ข้อมูลให้เพื่อนๆเองคร้า ....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

Powered By Blogger